Skip to main content

ประเทศไทย: ปฏิบัติตามขั้นตอนสุดท้ายของการรับรองอนุสัญญาคนหาย

ออกกฎหมายเพื่อลงโทษการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย

นายกรัฐมนตรีไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางมาถึงในการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ ประเทศไทย 17 มกราคม 2560 © 2017 Reuters/Chaiwat Subprasom

(นิวยอร์ก) – รัฐบาลไทยควรดำเนินการในขั้นตอนสุดท้ายของการให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ รัฐบาลยังควรดำเนินการโดยทันที เพื่อออกกฎหมายที่เอาผิดกับการทรมานและการสูญหายของบุคคล

ในวันที่ 10 มีนาคม 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทหาร มีมติเป็นเอกฉันท์ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ทั้งการส่งมอบสัตยาบันสารให้กับเลขาธิการองค์การสหประชาชาติตามข้อกำหนด หรือการทบทวนและการผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ....เป็นกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ทางสนช.ได้เลื่อนการพิจารณาเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์

ประเทศไทยมีกำหนดต้องให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในระหว่างวันที่ 13 และ 14 มีนาคม เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติสิทธิทางพลเรือนและทางการเมืองของตน

“รัฐบาลไทยควรดำเนินการในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อรับรองอนุสัญญาคนหาย และออกกฎหมายอาญาที่จำเป็นเพื่อให้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานที่มีส่วนรับผิดชอบต่อความผิดที่เลวร้ายยิ่งเช่นนี้” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “หลังจากรอมาหลายปี การให้คำสัญญาเพิ่มเติมยังไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบัญญัติเป็นกฎหมาย ลงโทษอย่างรุนแรงต่อการกระทำที่เป็นการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย”

ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ...ซึ่งหากผ่านเป็นกฎหมาย จะนับเป็นกฎหมายไทยฉบับแรกที่รับรองและเอาผิดทางอาญากับการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในหรือภายนอกประเทศไทย ที่สำคัญ ร่างพระราชบัญญัติฉบับปัจจุบันไม่กำหนดข้อยกเว้นหรือภูมิคุ้มกันทางกฎหมาย ให้กับการกระทำที่เกิดขึ้นในระหว่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในพฤติการณ์พิเศษอื่นใด โดยผู้ที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานกระทำการทรมานหรือการบังคับบุคคลให้สูญหาย อาจได้รับโทษจำคุกขั้นต่ำ 20 ปี และจะเพิ่มโทษจำคุกมากขึ้นกรณีซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต ผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าพนักงานระดับสูง ซึ่งจงใจเพิกเฉยปล่อยให้เกิดการกระทำผิด ยังอาจได้รับโทษจำคุกเช่นกัน

ที่ผ่านมาฮิวแมนไรท์วอทช์ได้กระตุ้นรัฐบาลไทยทุกคณะในเรื่องนี้ รวมทั้งเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2560 เราได้มีจดหมายไปถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกร้องให้รัฐบาลให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาต่อต้านการบังคับบุคคลให้สูญหาย และให้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นฐานความผิดอาญาอย่างหนึ่ง ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้แสดงข้อกังวลอย่างจริงจังต่อกรณีที่รัฐบาลใช้อำนาจทหารเพื่อควบคุมตัวบุคคลแบบลับ โดยอ้างอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 (โดยเป็นการควบคุมตัวผู้เห็นต่างทางการเมืองและผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคง) รวมทั้งการอ้างอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2547 และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2553 (ที่ใช้กับผู้ต้องสงสัยในคดีก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้)

การบังคับบุคคลให้สูญหายได้รับการนิยามตามกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าหมายถึงการจับกุมหรือควบคุมตัวบุคคลโดยเจ้าพนักงานของรัฐหรือตัวแทน และต่อมามีการปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีการควบคุมตัวบุคคลเช่นนั้น หรือไม่ยอมเปิดเผยชะตากรรมหรือที่อยู่ของบุคคลดังกล่าว การบังคับบุคคลให้สูญหายละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานหลายประการซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งข้อห้ามต่อการจับกุมหรือควบคุมตัวโดยพลการ การทรมานและการปฏิบัติอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และการสังหารนอกกระบวนการกฎหมาย

นับแต่ปี 2523 คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances) ได้เก็บข้อมูลการบังคับบุคคลให้สูญหาย 82 กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิมคนสำคัญเมื่อเดือนมีนาคม 2547 และนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักกิจกรรมชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงเมื่อเดือนเมษายน 2557 ที่ผ่านมาทางการไทยไม่สามารถคลี่คลายคดีการหายตัวไปเหล่านี้ได้สำเร็จเลย ฮิวแมนไรท์วอทช์และกลุ่มสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ซึ่งทำงานในประเทศไทยเชื่อว่า จำนวนการสูญหายของบุคคลที่แท้จริงในไทยน่าจะสูงกว่านี้ เนื่องจากครอบครัวของผู้เสียหายและพยานอาจไม่กล้าร้องเรียนเนื่องจากกลัวจะถูกตอบโต้ และเนื่องจากรัฐบาลไม่มีระบบคุ้มครองพยานที่เป็นผล

การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี เป็นข้อห้ามตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศและกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ นับแต่เดือนตุลาคม 2550 ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment) ซึ่งกำหนดอย่างชัดเจนเป็นพันธกรณีให้รัฐบาลต้องสอบสวนและดำเนินคดีต่อการกระทำที่เป็นการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่น ๆ ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ข้อความใด ๆ ที่ได้มาจากการทรมาน “จะต้องไม่นำมาอ้างใช้เป็นหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม เว้นแต่เป็นการอ้างใช้เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำการทรมานและได้มาซึ่งข้อความดังกล่าว”

รัฐบาลไทยชุดที่ผ่าน ๆ มามักบอกปัดข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายความมั่นคงอื่น ๆ ทำการทรมานและปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ถูกควบคุมตัว โดยทางการไม่สามารถให้หลักฐานตอบโต้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเลย และที่ผ่านมามักจะโจมตีผู้กล่าวหา โดยทางการมักกล่าวหาว่าข้อร้องเรียนเหล่านั้นเป็นข้อมูลเท็จที่มีเจตนาทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า กำหนดการที่ประเทศไทยต้องตอบข้อซักถามของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเดือนมีนาคม เป็นโอกาสที่จะประเมินความจริงจังของรัฐบาลในการแก้ปัญหาคนหายและการปรับปรุงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน

“หากรัฐบาลไทยต้องการอธิบายให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเชื่อมั่นว่าตนเองมีความจริงจังในการแก้ปัญหาการทรมาน การสูญหายของบุคคล และการปฏิบัติมิชอบที่ร้ายแรงอื่น ๆ รัฐบาลไทยต้องทำมากกว่าพูดถึงสิ่งที่วางแผนจะทำ” อดัมส์กล่าว “รัฐบาลไทยจะสามารถยุติสถิติความล้มเหลวที่เลวร้ายมายาวนานได้ ก็ด้วยการให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาคนหายและการออกกฎหมายบังคับใช้ที่เข้มแข็งเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้มีการสอบสวนและดำเนินคดีต่อกรณีการทรมานและการสูญหายของบุคคลอย่างเต็มที่ เพื่อยุติวงจรการปฏิบัติมิชอบและการลอยนวลพ้นผิด” 

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.
Topic