Skip to main content

ประเทศจีน: การเดินทางของชาวอุยกูร์ถูกจำกัดอย่างมาก

ข้อกำหนดที่เกินกว่าเหตุ การจัดทัวร์ของทางการ เป็นมาตรการล่าสุดเพื่อควบคุมประชากรในซินเจียง

เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนรักษาการที่แนวพรมแดนที่ด่านคุนเจรับ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของประเทศจีน, 2 มกราคม 2568 © 2025 Hu Huhu/Xinhua via Getty Images

(นิวยอร์ก) – รัฐบาลจีน ยังคงกำหนดข้อจำกัด เงื่อนไข และการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อ ชาวอุยกูร์ ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ เป็นการละเมิดสิทธิในการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งได้รับการคุ้มครองในระดับสากล ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ รัฐบาลอนุญาตให้ชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน สามารถเดินทางเข้าสู่ซินเจียงได้อย่างจำกัด ซึ่งชัดเจนว่ามีเป้าหมายเพื่อสร้างภาพว่าภูมิภาคนี้มีสถานการณ์ปรกติ

นับแต่รัฐบาลจีนได้เริ่มใช้นโยบายปราบปรามอย่างหนัก (Strike Hard Campaign) ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในปี 2559 ทางการจีนได้ดำเนินการโดยพลการ เพื่อยึดหนังสือเดินทางของชาวอุยกูร์ในภูมิภาคนี้ และจำคุกชาวอุยกูร์ที่ติดต่อกับคนที่อยู่ต่างประเทศ แม้ว่าในขณะนี้ทางการจะอนุญาตให้ชาวอุยกูร์บางส่วนสามารถติดต่อขอทำหนังสือเดินทาง หรือมีการส่งคืนหนังสือเดินทางให้กับพวกเขา เพื่อให้สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ แต่ทางการยังคงใช้อำนาจอย่างเข้มงวดในการควบคุมผู้ที่ประสงค์จะเดินทางเหล่านี้

“การผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางเพียงเล็กน้อยในประเทศจีน เปิดโอกาสให้ชาวอุยกูร์สามารถเดินทางจากต่างประเทศกลับมาอยู่กับคนที่พวกเขารักได้แม้เพียงในเวลาสั้น ๆ หลังจากไม่ได้ทราบข่าวคราวของพวกเขาเป็นเวลาหลายปี ถึงอย่างนั้น รัฐบาลจีนยังคงจำกัดการเดินทาง และใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกดขี่ชาวอุยกูร์ในซินเจียง และคนที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ” ยัลคุน อูลูยล นักวิจัยประเทศจีน ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลจีนยังคงปฏิเสธไม่ให้ชาวอุยกูร์มีสิทธิเดินทางออกจากประเทศ จำกัดการแสดงความเห็นและการสมาคมเมื่อพวกเขาอยู่ในต่างประเทศ และลงโทษพวกเขาหากมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ”

ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ชาวอุยกูร์ 23 คนที่อาศัยอยู่นอกประเทศจีน และได้ศึกษาจากเอกสารของทางการที่เกี่ยวข้อง

ชาวอุยกูร์ในประเทศจีนที่ขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการเดินทางให้ทางการทราบ ตามข้อมูลของชาวอุยกูร์ที่เดินทางออกจากซินเจียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือเพิ่งจะได้พบกับญาติที่มาจากซินเจียง คนที่ขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศโดยอ้างเหตุผลด้านครอบครัว ยังจะต้องนำจดหมายเชิญจากสมาชิกในครอบครัวในต่างประเทศมาแสดง รวมทั้งข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่ สถานะของการทำงาน และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หากได้รับอนุญาต พวกเขาต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดในการเดินทาง โดยจะต้องไม่ไปติดต่อสัมพันธ์กับนักกิจกรรมระหว่างอยู่ในต่างประเทศ หรือไม่ไปพูดวิจารณ์รัฐบาลจีน และจะต้องเดินทางกลับมาภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจหมายถึงการเดินทางเพียงไม่กี่วัน หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับเป้าประสงค์ของการเดินทาง ชาวอุยกูร์จะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปเพียงบางประเทศเท่านั้น เช่น คาซัคสถาน และห้ามไม่ให้เดินทางไปยัง “ประเทศที่มีความอ่อนไหว” ซึ่งมีประชากรชาวมุสลิมจำนวนมาก รวมทั้งตุรกี

ชาวอุยกูร์คนหนึ่งซึ่งมีญาติอยู่ในประเทศจีน และถูกปฏิเสธไม่ให้ได้รับหนังสือเดินทาง บอกว่า “ตำรวจเอารูปถ่ายของฉันให้ญาติดูและถามว่า ‘คุณรู้จักคน ๆ นี้หรือเปล่า?’ [ญาติ] บอกว่า ใช่ แค่นั้นตำรวจก็บอกพวกเขาว่า ไม่มีทางจะได้หนังสือเดินทางหรอก”

หลายคนที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า ทางการบอกพวกเขาว่า เฉพาะ “หนึ่งคนจากแต่ละครอบครัวเท่านั้น [ที่จะสามารถเดินทาง] ในการเดินทางครั้งเดียวกัน” เท่ากับว่าเป็นการจับตัวสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาไว้เป็นตัวประกัน เพื่อให้พวกเขาเดินทางกลับมา บางคนบอกว่า ทางการยังกำหนดให้พวกเขาต้องเสนอชื่อ “ผู้ค้ำประกัน” ซึ่งมักเป็นเจ้าหน้าที่ที่จะช่วยให้การรับรองพวกเขาได้ ก่อนจะอนุญาตให้เดินทางได้ หากมีการละเมิดกฎเกณฑ์ใด ๆ จะทำให้ผู้ค้ำประกันหรือสมาชิกในครอบครัวเสี่ยงที่จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ในระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ จะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งติดต่อสอบถามญาติซึ่งยังอยู่ในประเทศอย่างสม่ำเสมอ และสอบถามข่าวคราวว่าคนที่เดินทางทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เมื่อเดินทางกลับมาแล้ว ทางการก็จะยึดหนังสือเดินทางของพวกเขาไว้อีก และจะมีการนำตัวมาสอบปากคำเกี่ยวกับการเดินทางนั้น และข้อมูลเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ในประเทศต่าง ๆ ที่พวกเขาเดินทางไปเยี่ยม

ชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดนบางคนสามารถเดินทางมาที่ซินเจียง หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวด คนที่มีหนังสือเดินทางต่างประเทศซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศจีนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ก็ยังได้รับแจ้งจากครอบครัวว่า พวกเขาต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ และต้องขออนุญาตล่วงหน้าจาก “คณะกรรมการชุมชน” ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐระดับท้องถิ่น และขออนุญาตจากตำรวจในท้องที่ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ เมื่อเดินทางกลับมาในบ้านเกิดที่ซินเจียงแล้ว ชาวอุยกูร์บางคนจะถูกสอบปากคำ หรือถูกกำหนดให้ต้องพักอาศัยในโรงแรม ไม่สามารถไปพักที่บ้านญาติได้

สำหรับชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศที่ต้องขอวีซ่าก่อนจะเดินทางเข้าประเทศจีนได้ ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ยาวนานกว่า โดยอาจใช้เวลานานถึงหกเดือน เนื่องจากหน่วยงานการทูตของจีนในต่างประเทศต้องทำการตรวจสอบประวัติในเชิงลึก แม้แต่การเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่มีเป้าประสงค์ทางการเมือง อย่างเช่น การส่งลูกกลับมาซินเจียงเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนภาษาอุยกูร์ หรือมาร่วมพิธีแต่งงานซึ่งมีนักกิจกรรมชาวอุยกูร์เข้าร่วมด้วย ก็อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธวีซ๋าได้

หน่วยงานการทูตของจีนได้สั่งการให้ชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดนบางคน เข้าร่วมในการเดินทางกลับมาทัวร์ซินเจียงอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการดำเนินงานของกรมงานแนวร่วมซินเจียง (United Front Work Department) หน่วยงานภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการเข้าร่วมรายการทัวร์ดังกล่าว พวกเขาต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนชาวจีนไปแสดงที่สถานทูต รวมทั้งหนังสือเดินทาง และที่อยู่ของพวกเขาในซินเจียง จากนั้นจะมีการส่งเอกสารเหล่านี้กลับไปประเทศจีน เพื่อผ่านการตรวจสอบของหลายหน่วยงาน รวมทั้งตำรวจ และสถานีตำรวจในพื้นที่ หน่วยงานด้านความมั่นคงสาธารณะ และหน่วยงานที่รับผิดชอบกับการต่อต้านการก่อการร้าย รวมทั้งคณะกรรมการชุมชน

เฉพาะคนที่ได้รับอนุญาตถึงจะสามารถเข้าร่วมการทัวร์อย่างเป็นทางการได้ ชาวอุยกูร์ซึ่งถือหนังสือเดินทางต่างประเทศ ยังจะต้องสละสัญชาติจีนของตนเอง ก่อนจะสามารถเข้าร่วมรายการทัวร์ดังกล่าวได้ ชาวอุยกูร์บอกว่า พวกเขาได้เข้าร่วมการทัวร์อย่างเป็นทางการเหล่านี้ เพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า สามารถดำเนินการได้รวดเร็วกว่า และมีขั้นตอนการขอวีซ่าที่ง่ายดายกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความพยายามที่จะเดินทางไปยังซินเจียงด้วยตนเอง ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกตำรวจสอบปากคำและอาจถูกควบคุมตัว

ชาวอุยกูร์ที่เคยเดินทางไปกับทัวร์เหล่านี้บอกว่า พวกเขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยเจ้าหน้าที่จากกรมงานแนวร่วม และบอกว่าพวกเขาต้องขออนุญาตก่อน ถึงจะสามารถไปเยี่ยมครอบครัวของตนเองได้ และต้องพูดเป็นภาษาจีนกลางแม้แต่ตอนที่พูดคุยกันระหว่างชาวอุยกูร์ พวกเขายังบอกว่าได้ถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมในกิจกรรมโฆษณาชวนเชื่อ เช่น ได้รับแจกสคริปต์ที่เขียนด้วยตัวพินอินหรือโฟเนติกส์ สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในภาษาจีนกลาง เพื่อให้สามารถพูดยกย่องนโยบายเกี่ยวกับซินเจียงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้

จากการจัดการเดินทางและการทำทัวร์ที่มีการควบคุมเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลจีนยังคงสามารถควบคุมชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดนได้ ทำให้หลายคนยอมปิดปากเงียบ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรม แม้แต่การเข้าร่วมในกิจกรรมด้านวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ โดยหวังว่าจะช่วยให้มีโอกาสติดต่อกับครอบครัวของตนเองได้อีกครั้ง และหวังว่าจะมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมซินเจียง ทางการจีนยังได้ใช้วิธี การปราบปรามข้ามชาติ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาอย่างยาวนาน โดยเป็นการดำเนินงานข้ามพรมแดนเพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง และมีเป้าหมายเป็นชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน มุ่งปราบปรามนักกิจกรรมและผู้วิจารณ์รัฐบาลจีน และครอบครัวของพวกเขาในซินเจียง

สอดคล้องตามพันธกรณีด้านกฎหมายระหว่างประเทศของประเทศจีน รัฐบาลจีนควรอนุญาตให้ชาวอุยกูร์เดินทางได้อย่างเสรี ให้หยุดลงโทษคนที่ติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ และยุติการใช้มาตรการที่กดขี่ต่อชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน รัฐบาลที่เกี่ยวข้องควรประกันให้มีการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนของพลเมืองและผู้มีสิทธิพำนักอาศัยทุกคน ให้ปลอดพ้นจากการปราบปรามข้ามชาติของรัฐบาลจีนในรูปแบบต่าง ๆ

“ชาวอุยกูร์ต้องเจอกับเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เข้มงวด หากพวกเขาต้องการเดินทางมาเยี่ยม หรือเพียงแค่ติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวในประเทศจีน แม้เพียงเวลาสั้น ๆ” อูลูยลกล่าว “การสามารถติดต่อหรือการมาเยี่ยมคนที่เรารักระหว่างอยู่ในต่างประเทศ ไม่ควรเป็นอภิสิทธิที่มอบให้กับชาวอุยกูร์เพียงบางคน หากเป็นสิทธิที่รัฐบาลจีนต้องให้ความเคารพ”

ข้อจำกัดในการเดินทาง การคุกคามต่อชาวอุยกูร์

รัฐบาลจีนมีประวัติมายาวนานเกี่ยวกับนโยบายด้านหนังสือเดินทางที่เลือกปฏิบัติกับชาวอุยกูร์ ซึ่งที่ผ่านมาต้องเผชิญกับ ขั้นตอนการขอหนังสือเดินทางที่เข้มงวด นับแต่มีการใช้นโยบายการปราบปรามอย่างหนักที่ละเมิดสิทธิในปี 2559 ทางการจีนยังบังคับให้ชาวซินเจียงต้องส่งคืนหนังสือเดินทางให้กับรัฐ เพื่อ “การเก็บรักษาอย่างปลอดภัย” และยุติ การต่ออายุหนังสือเดินทางของชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน

ชาวอุยกูร์ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศต้องมาจากอุรุมชี ซึ่งเป็นเมืองหลวง และอีกสองเมืองในตอนเหนือของซินเจียง ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถเดินทางออกจากภูมิภาคนี้ได้ ส่วนชาวอุยกูร์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ก็ยังคงไม่ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับญาติของตนเอง โดยเฉพาะคนที่ถูกคุมขังเป็นเวลานาน

รัฐบาลจีนได้โฆษณาเกี่ยวกับการเดินทางมาเยี่ยมเช่นนี้ทั้งใน สื่อของทางการและโดยผ่านการเผยแพร่ใน โซเชียลมีเดีย จากการโพสต์ของชาวอุยกูร์ที่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งชัดเจนว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค ในบทความต่าง ๆ เหล่านี้ ชาวอุยกูร์ที่เข้าร่วมการทัวร์แบบนี้มักจะโฆษณาโอ้อวดว่า “มีการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีในซินเจียง” และบอกว่าพวกเขา “สัมผัสถึงความอบอุ่น....ในมาตุภูมิได้อย่างลึกซึ้ง”

วิธีวิทยา

ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ชาวอุยกูร์ 23 คนซึ่งอาศัยอยู่ในเก้าประเทศ รวมทั้งแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น คีร์กีซสถาน นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และตุรกี และผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนซึ่งทำงานกับชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน ผู้ให้สัมภาษณ์มีสมาชิกในครอบครัวซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หรือตัวพวกเขาเองอาจเคยกลับไปเยือนซินเจียงผ่านการจัดทัวร์ของรัฐบาลจีน มีอยู่สองสามคนที่เดินทางออกจากซินเจียงอย่างถาวรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลานานมากกว่าจะได้รับหนังสือเดินทางและหนังสืออนุญาตจากทางการ

ฮิวแมนไรท์วอทช์ยังได้ศึกษาจากภาพถ่าย เอกสาร และประวัติการพูดคุยในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับการจัดทัวร์ของรัฐบาล รวมทั้งแหล่งข้อมูลออนไลน์สาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งใบแถลงข่าวของรัฐบาลจีน และการโพสต์ในโต่วอิน ซึ่งเป็นเหมือนติ๊กต่อกในภาษาจีน และวิดีโอที่โพสต์โดยคนที่กลับไปเยี่ยมซินเจียง

เราได้ปกปิดอัตลักษณ์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา

ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้นำข้อค้นพบเหล่านี้ไปมอบให้ และได้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลจีนเพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ 

ชาวอุยกูร์ที่เดินทางออกจากซินเจียง

ชาวอุยกูร์คนหนึ่งที่อยู่ต่างแดนบอกว่า เขาสามารถเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่หลังจากที่พลัดพรากจากกันมาแปดปี แต่ต้องเดินทางไปพบกันในประเทศที่สาม โดยแม่ของเขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปประเทศดังกล่าวด้วยเหตุผลด้านธุรกิจ แม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ หลังจากต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวด และต้องเห็นชอบที่จะไม่ละเมิดข้อห้ามต่าง ๆ 

เธอได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลา 15 วัน คณะกรรมการชุมชนและตำรวจในพื้นที่บอกให้เธอไม่ไปติดต่อเกี่ยวข้องกับ “บุคคลอันตราย” ไม่ไปพูดสิ่งที่เลวร้ายเกี่ยวกับรัฐบาล และให้เดินทางกลับมาก่อนจะสิ้นสุดเวลาที่ได้รับอนุญาต ฉันหวังว่าเธอจะสามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป แต่ฉันต้องส่งเธอกลับบ้าน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ทางการอาจยึดทรัพย์สินของพวกเรา และญาติคนอื่น ๆ ก็อาจจะถูกลงโทษ 

อีกคนหนึ่งบอกว่า ตำรวจได้จับตัวสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาเป็นตัวประกันโดยปริยาย ก่อนจะอนุญาตให้พ่อของพวกเขาเดินทางไปต่างประเทศได้

พ่อมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า ซึ่งถูกยึดเอาไว้โดยคณะกรรมการชุมชนเมื่อหลายปีก่อน พ่อต้องมีผู้ค้ำประกันซึ่งทำงานให้กับรัฐบาล ทางการอนุญาตให้เขาเดินทางไปเพียงลำพัง โดยบอกว่า “ภรรยาของคุณอาจจะเดินทางได้ เมื่อคุณกลับมาแล้ว” พ่อได้รับอนุญาตให้เดินทางเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวด และต้องลงนามในจดหมายเพื่อให้สัญญา [ที่จะปฏิบัติตามข้อจำกัดเหล่านี้] เขาพยายามขยายเวลาที่จะอยู่กับเรา แต่ไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงต้องเดินทางกลับ หวังว่าแม่จะมีโอกาสเดินทางมาต่างประเทศบ้าง อย่างไรก็ดี ทางการไม่ยอมออกหนังสือเดินทางให้กับแม่ และบอกให้แม่รอก่อน

อีกคนหนึ่งบอกว่า เจ้าหน้าที่สอบปากคำพ่อของพวกเขา หลังเดินทางกลับไปซินเจียง

เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการชุมชน สถานีตำรวจในท้องที่ และหน่วยงานความมั่นคงของรัฐได้มาพบกับพ่อหลังจากที่เขาเดินทางกลับไป พวกเขาสอบถามว่าพ่อไปพบกับใครมาบ้าง ไปที่ไหนมา และไปพูดอะไรกับพวกเขา พ่อบอกว่า “ผมไม่ได้ไปเจอใครเลย” ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะเราไม่ได้ไปแม้แต่ที่ร้านอาหารของชาวอุยกูร์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจ และหลีกเลี่ยงการสอดแนมข้อมูลของทางการจีน 

ชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดนที่เดินทางกลับไปซินเจียง

เดินทางเพียงลำพัง 

ชาวอุยกูร์บอกว่า แม้แต่คนที่มีหนังสือเดินทางต่างประเทศซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศจีนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ก็ยังผ่านการตรวจสอบประวัติ ก่อนจะสามารถเดินทางมาซินเจียงได้ ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนั้นบอกว่า

ชาวอุยกูร์จำนวนมากที่มีหนังสือเดินทางยุโรป ได้เดินทางกลับมาประเทศบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมครอบครัวเป็นเวลาสั้น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากโครงการฟรีวีซ่า ทุกคนที่ประสงค์จะเดินทางต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการชุมชนและตำรวจในท้องที่ก่อน และต้องนำหนังสืออนุญาตมาแสดงเมื่อเดินทางถึงที่พรมแดน บางคนถูกเจ้าหน้าที่สอบถาม ส่วนคนอื่นจะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าให้พักอาศัยในโรงแรม แทนที่จะไปพักที่บ้านกับครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางมาที่อุรุมชี และเมืองไม่กี่แห่งในตอนเหนือของซินเจียง

ครูที่โรงเรียนสอนภาษาอุยกูร์ในต่างประเทศบอกว่า พ่อแม่ของเด็กนักเรียนได้ถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าประเทศจีน เพียงเพราะส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนของชาวอุยกูร์

มีนักเรียนอย่างน้อยสองคน ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขาได้รับแจ้งจากตำรวจจีนและสถานทูตจีนว่า การที่ส่งลูกมาเข้าเรียนโรงเรียนสอนภาษาอุยกูร์ [ในประเทศนี้] ถือว่าเป็น “อุปสรรค” ต่อการที่ตัวเขาและครอบครัวจะเดินทาง [ไปซินเจียง] ทั้งยังมีกรณีที่พวกเขาถูกปฏิเสธวีซ่าด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้หลายคนหยุดส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาของเรา โรงเรียนของเราเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 และจนถึงเดือนมกราคม 2568 เราต้องหยุดดำเนินการ เพราะไม่มีนักเรียนในชั้นเรียนแล้ว

อีกคนหนึ่งบอกว่า

ในระหว่างพิธีแต่งงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าภาพได้ขอให้นักกิจกรรมชาวอุยกุร์บางคนอย่ามาร่วมพิธี เพราะว่าญาติสนิทของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องเดินทางไปมา [ระหว่างซินเจียง] เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ที่แม้แต่กิจกรรมด้านสังคมแบบนี้ ก็ยังถูกจับตามองจากรัฐบาลจีน เป็นการกระทำที่ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงระหว่างสมาชิกในชุมชน

รายการทัวร์ซินเจียงที่จัดโดยรัฐบาล

ชาวอุยกูร์คนหนึ่งซึ่งได้ร่วมการทัวร์ในซินเจียงที่เป็นการจัดโดยทางการในซินเจียงบอกว่า

ฉันไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกครั้งที่จะได้พบกับครอบครัวหรือไม่ ทำให้ฉันตัดสินใจเข้าร่วมรายการทัวร์ครั้งนี้ ฉันรู้ว่ามันเป็นแค่การจัดฉาก ระหว่างอยู่ในทัวร์พวกเราจะถูกตำรวจจับตามองอย่างใกล้ชิด และฉันต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการชุมชนและสถานตำรวจในท้องที่เพื่อที่จะได้ไปอยู่กับครอบครัว หลังจากการทัวร์ครั้งนั้น

อีกคนหนึ่งบอกว่า

เจ้าหน้าที่กรมงานแนวร่วมในซินเจียงได้มาต้อนรับพวกเรา จากนั้นก็พาพวกเราออกไปทัวร์เลย ซึ่งใช้เวลาระหว่าง 7-15 วัน ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของโปรแกรม พวกเราทุกคนในกลุ่มทัวร์เป็นชาวอุยกูร์ และคนที่เป็นไกด์ก็เป็นชาวอุยกูร์ แต่พวกเขาบอกให้เราทุกคนต้องพูดเป็นภาษาจีน เราได้ไปที่ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และมัสยิด เหมือนกับการทัวร์แบบโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งหาดูได้จากในยูทูบ วันสุดท้ายเราต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง พวกเราบางคนจะได้รับสคริปต์ที่เขียนโดยเจ้าหน้าที่ เป็นการกล่าวคำพูดเพื่อแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลจีน หลังจบทัวร์ หลังการลงทะเบียน และการขออนุญาตจากคณะกรรมการชุมชนและสถานีตำรวจในพื้นที่ เราจึงจะสามารถไปอยู่ร่วมกับครอบครัวได้ไม่กี่วัน

อีกคนหนึ่งอธิบายถึงประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันว่า 

ทุกอย่างดูปลอมไปหมด ดูเหมือนมีการจัดฉากให้กับพวกเรา แต่ตอนที่ฉันสามารถเดินไปรอบ ๆ ในเมือง ฉันได้เห็นแต่มัสยิดร้าง ผู้ชายไม่สามารถไว้เคราได้ เด็กเล็ก ๆ ไม่สามารถพูดภาษาอุยกูร์ได้อีกต่อไป ฉันแทบจะจดจำเมืองที่เคยรู้จักไม่ได้เลย 

ผลกระทบต่อชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน

ชาวอุยกูร์จำนวนมากในต่างแดน ยังคงไม่สามารถติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาได้ ชาวอุยกูร์คนหนึ่งบอกว่า

มีคนที่ใกล้ชิดกับสถานทูตจีนมาขอให้ฉันเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด โดยไปในรายการทัวร์กับกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ฉันไม่ได้เป็นนักกิจกรรม และฉันมีหนังสือเดินทางต่างประเทศ บางทีฉันอาจจะมีโอกาสกลับไปได้ หากต้องการ อย่างไรก็ดี พอฉันบอกพวกเขาเกี่ยวกับพ่อแม่ ซึ่งตอนนี้ต้องใช้โทษจำคุกเป็นเวลานานโดยไม่มีเหตุผล พวกเขาก็หยุดติดต่อฉันไปเลย ทำให้ฉันถามตัวเองว่า ถ้าได้กลับไป แล้วฉันจะไปเยี่ยมครอบครัวที่ไหนล่ะ?

อีกคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน และไม่ประสงค์จะเสี่ยงภัยเดินทางกลับไปซินเจียงบอกว่า

คนที่ใกล้ชิดกับสถานกลสุลจีนได้มาติดต่อฉัน และเสนอว่า ฉันอาจมีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดได้ เขาพยายามที่จะ “ล้างสมอง” ฉัน โดยบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก หากฉันต้องการกลับไป พวกเขาสามารถรับประกันว่าฉันจะเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดี ฉันรู้จักคนที่เคยเดินทางกลับไป และเกิดความตกใจมากต่อสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่บ้านเกิด พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เลวร้ายเหล่านั้นอย่างเปิดเผยได้หรอก เพราะรัฐบาลบอกให้พวกเขาอย่าทำเช่นนั้น แต่ในทางส่วนตัว มีคนอย่างน้อยสามคนที่บอกกับฉันว่า พวกเขาถูกสอบปากคำตอนที่เดินทางกลับไปซินเจียง และถูกบังคับให้ต้องเซ็นชื่อในเอกสารบางอย่าง พวกเขาบอกว่าไม่มีทางที่จะเดินทางกลับไปอีกครั้ง ทำให้ฉันไม่มีแผนจะกลับไปเช่นกัน

ชาวอุยกูร์จำนวนมากที่พยายามค้นหาญาติที่ถูกควบคุมตัว หรือถูกบังคับให้สูญหายระหว่างนโยบายการปราบปรามอย่างหนักบอกว่า พวกเขายังไม่ได้รับทราบข่าวคราวจากครอบครัว พวกเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความพยายามของรัฐบาลจีนที่จะส่งเสริมภาพลักษณ์ของเหตุการณ์ที่ปรกติในซินเจียง ซึ่งกำลังส่งผลกระทบด้านลบต่อชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างแดน

คนที่แสดงตนว่ามีความจงรักภักดีต่อรัฐบาลจีน จะได้รับ “อภิสิทธิ” ในการเดินทางเหล่านี้ ทำให้คนเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองน้อยลง เพราะหลายคนก็คาดหวังว่าจะได้เดินทางกลับไปซินเจียง ทำให้พวกเขาเลือกที่จะอยู่ห่างจาก “ปัญหา” และทำทุกอย่างตามที่รัฐบาลบอก

มีอยู่คนหนึ่งที่ได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ บอกว่า

เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ฉันแทบจะไม่เชื่อเลยว่า [จะได้กลับไปอยู่กับสมาชิกในครอบครัวอีกครั้ง] มันดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ ในเวลาเดียวกัน ฉันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างมากเพราะตระหนักว่าเพื่อนของฉันไม่มีทางแม้แต่จะติดต่อกับครอบครัวของพวกเขา ฉันจะเสแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมาได้อย่างไร?

อาชญากรรมต่อมนุษยชาติในซินเจียง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนทำการปราบปรามอย่างหนักในซินเจียง รุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เป็นความพยายามที่จะบังคับให้ชาวอุยกูร์ต้องปรับตัวให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของชาวจีนฮั่น การปฏิบัติมิชอบที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมเตอร์กิกอื่น ๆ รวมถึงการควบคุมตัวและการจำคุกกลุ่มคนจำนวนมากโดยพลการ การทรมาน การบังคับให้สูญหาย การสอดแนมข้อมูลในวงกว้าง การประหัตประหารทางวัฒนธรรมและศาสนา การทำให้ครอบครัวพลัดพรากจากกัน การบังคับใช้แรงงาน ความรุนแรงทางเพศ และการละเมิดสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ ทางการจีนยังได้ใช้มาตรการกับชาวอุยกูร์ที่อยู่ต่างประเทศ รวมทั้ง การปราบปรามข้ามชาติ นับแต่ปี 2559 ทางการในซินเจียงกำหนดให้การติดต่อสัมพันธ์กับต่างชาติเป็นความผิดที่มีบทลงโทษ ชาวอุยกูร์ที่เคยเดินทางไปยัง “26 ประเทศที่มีความอ่อนไหว” รวมทั้งประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม อย่างเช่น คาซัคสถาน อียิปต์ ตุรกี มาเลเซีย และอินโดนีเซีย หรือมีครอบครัวที่นั่น หรือได้ติดต่อกับคนที่นั่น ตกเป็นเป้าถูกสอบปากคำ ถูกควบคุมตัว และในหลายกรณีได้ถูกฟ้องคดีและจำคุก

กฎหมายจีนและกฎหมายระหว่างประเทศ

กฎหมายบริหารการเข้าเมืองและการออกเมืองของประเทศจีน ตามมาตรา 12(5) ระบุไว้กว้าง ๆ ว่า พลเมืองซึ่ง “อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงหรือผลประโยชน์ของรัฐ” อาจถูกห้ามไม่ให้เดินทางออกจากประเทศ ในทำนองเดียวกัน กฎหมายเกี่ยวกับหนังสือเดินทางตามมาตรา 13 อนุญาตให้ทางการปฏิเสธไม่ออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคล ซึ่งการเดินทางออกนอกประเทศของพวกเขาอาจเป็น “สาเหตุให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือทำให้เกิดความสูญเสียที่สำคัญต่อผลประโยชน์ของรัฐ”

สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเดินทางได้รับการรับรองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของข้อบทตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง (ICCPR) ซึ่งจีนได้ลงนาม ตามข้อ 12 ของกติกา ICCPR ระบุว่า “บุคคลทุกคนย่อมมีเสรีภาพที่จะออกจากประเทศใด ๆ รวมทั้งประเทศของตนได้”

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในความเห็นทั่วไปว่าด้วยสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเดินทาง ระบุว่า “เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศมักจำเป็นต้องอาศัยเอกสารที่เหมาะสม โดยเฉพาะหนังสือเดินทาง สิทธิในการเดินทางออกจากประเทศจึงต้องครอบคลุมสิทธิที่จะได้รับเอกสารการเดินทางที่จำเป็น” รัฐบาลอาจจำกัดเสรีภาพในการเดินทางได้เท่าที่ “บัญญัติไว้ตามกฎหมาย” และเท่าที่จำเป็น “เพื่อคุ้มครองความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ การสาธารณสุข หรือศีลธรรมอันดี หรือสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น”

การจำกัดเหล่านี้ต้องไม่มีลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติ ต้องจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ชอบธรรมอย่างหนึ่งหรือกว่านั้น ต้องได้สัดส่วนเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ และต้องเป็นมาตรการที่เป็นข้อจำกัดน้อยสุดเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ การจำกัดโดยอ้างเป้าหมายที่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจงในแง่ของรายละเอียด เช่น ความมั่นคงของรัฐอาจถูกคุกคาม หากมีการอนุญาตให้บุคคลต้องห้ามสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้

การปฏิบัติในปัจจุบันของซินเจียงละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์ในแง่ของการเดินทางออกจากประเทศ เพราะเป็นการกระทำโดยพลการและเลือกปฏิบัติ 

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.
Region / Country
Tags