A man sits inside his apartment.

“ผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลย”

ไม่มีเอกสารและถูกแสวงหาประโยชน์: พลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย

แรงงานข้ามชาติสัญชาติเมียนมาระหว่างอยู่ในห้องเช่าที่จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย 26 มกราคม 2568  © 2025 LILLIAN SUWANRUMPHA/AFP via Getty Images


 

บทสรุป

นับแต่การทำรัฐประหารในเมียนมาเดือนกุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลทหารได้ปราบปรามสิทธิมนุษยชนของประชาชน เพิ่มการปฏิบัติมิชอบในประเทศที่มีปัญหาการขัดกันทางอาวุธมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และยิ่งเร่งเร้าให้เกิดวิกฤตด้านเศรษฐกิจและมนุษยธรรม ประชาชนจำนวนมากต้องหลบหนีจากการกดขี่ การสู้รบ และความช่วยเหลือที่ไม่เพียงพอไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พร้อม ๆ กับผู้เข้าเมือง ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากเมียนมาหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยกว่า 4 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศไทย และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีเอกสาร ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกคุกคาม จับกุม และการถูกเนรเทศอย่างสม่ำเสมอ

รายงานนี้เป็นการศึกษาสถานการณ์ของพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย นับแต่การทำรัฐประหาร ซึ่งหลายคนถือว่าเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ แม้จะไม่เคยได้รับสถานะเช่นนั้นก็ตาม และมีช่องทางที่จำกัดในการขอรับสถานะบุคคลในประเทศไทย พลเมืองชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสารเหล่านี้ถูกบีบให้ต้องแสวงหาความมั่นคงปลอดภัย และการประกอบอาชีพ และต้องหลีกเลี่ยงการถูกส่งกลับไปเผชิญหน้ากับการปราบปราม ความขัดแย้ง และวิกฤตด้านมนุษยธรรมในเมียนมา

ประเทศไทยไม่รับรองสถานะของผู้ลี้ภัย และในบรรดามาตรการที่มีอยู่อย่างจำกัดสำหรับ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” กำหนดเงื่อนไขทำให้พลเมืองชาวเมียนมาส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้มาตรการเหล่านี้ได้ ส่งผลให้พลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมาก รวมทั้งเด็ก ไม่มีช่องทางตามกฎหมายที่จะเข้าถึงการดูแลสุขภาพ การศึกษา และการมีงานทำ ส่งผลให้หลายคนต้องขังตัวเองอยู่ในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะถูกรีดไถ ทั้งจากตำรวจที่อาจพบเจอเป็นบางครั้ง แต่ยังอาจถูกรีดไถจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทย ซึ่งใช้ระบบแบบกึ่งทางการเพื่อรีดไถเงินจากผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสาร

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมาได้ทำการรัฐประหาร และจับกุมผู้นำพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งอองซานซูจี ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัย และประธานาธิบดีวิน มยินต์ ส่งผลให้เกิดการประท้วงในวงกว้างในหลายเมืองและอำเภอทั่วประเทศ รัฐบาลทหารที่เรียกตัวเองว่าสภาบริหารแห่งรัฐ และอยู่ใต้การนำของพลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ได้ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร มีการจับกุมแบบเหวี่ยงแห และสังหารประชาชน กองกำลังความมั่นคงพุ่งเป้าไปที่การปราบปรามบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลทหาร ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรม นักศึกษา ผู้สื่อข่าว ผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม นักกฎหมาย และผู้นำทางศาสนา คนที่ถูกจับกุมจะตกเป็นเหยื่อของการทรมาน การข่มขืน การบังคับให้สูญหาย และการคุมขังเป็นเวลานานโดยไม่มีการพิจารณาที่เป็นธรรม

กลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ชนชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่สู้รบกับรัฐบาลเมียนมา ตลอดมาตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 2491 ได้ร่วมมือกับสมาชิกของขบวนการอารยะขัดขืนที่หลบหนีมาจากในเขตเมือง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร ที่ประกอบด้วยสมาชิกหลายร้อยคน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีความเชื่อมโยงกับกองทัพ โดยพวกเขามักให้ความร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ กองทัพได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มปฏิบัติการ รวมทั้งการโจมตีทางอากาศและการยิงปืนใหญ่ในวงกว้าง โดยมีเป้าหมายเป็นอำเภอและหมู่บ้านต่าง ๆ ทำให้เกิดอันตรายกับพลเรือน และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ทั้งยังมีการประกาศใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารที่ละเมิดสิทธิในปี 2567

รัฐบาลทหารได้ดำเนินการขัดขวางอย่างรุนแรงต่อการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังชุมชนที่มีความเสี่ยงมากสุด ความต้องการด้านมนุษยธรรมได้เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยคาดว่ามีประชาชน 19.9 ล้านคน หรือกว่าหนึ่งในสามของประชากร ที่ต้องการความช่วยเหลือ รวมทั้งผู้พลัดถิ่นในประเทศกว่า 3.5 ล้านคน เหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.7 ในวันที่ 28 มีนาคม 2566 ใกล้กับมัณฑะเลย์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,500 คน และสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ที่ต้องการบริการด้านมนุษยธรรมได้เพิ่มสูงขึ้นจาก 1 ล้านเป็น 5.2 ล้านในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้นำไปสู่การหลั่งไหลออกนอกเมียนมาของประชาชน

ประเทศไทยเป็นประเทศเป้าหมายของแรงงานข้ามชาติตลอดทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว ส่วนใหญ่จะมาจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนจำนวนมากที่มาจากเมียนมา

ผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยงจากเมียนมาประมาณ 82,000 คน อาศัยอยู่ในค่ายที่พักพิงแบบปิด ตามพรมแดนประเทศไทย-เมียนมามาหลายทศวรรษแล้ว พวกเขาถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง และต้องดำรงชีวิตโดยแทบไม่มีรายได้ และไม่ได้รับบริการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้าลงไปอีกในปี 2568 หลังการตัดงบประมาณของสหรัฐฯ

พลเมืองชาวเมียนมาอีกหลายแสนคนก็ได้หลบหนีจากการกดขี่และการขัดกันทางอาวุธ โดยเดินทางข้ามพรมแดนที่มีความยาวและมีช่องทางทางธรรมชาติมากมายเข้าสู่ประเทศไทย รัฐบาลไทยอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาใหม่อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวอย่างไม่เป็นทางการใกล้กับพรมแดน แต่ก็ได้ผลักดันพวกเขากลับไปในหลายครั้ง บรรดาผู้ที่อพยพมาหลังการทำรัฐประหาร ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่มีอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ไทยยังจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเขาอย่างเข้มงวด รวมทั้งจำกัดการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบริการขั้นพื้นฐาน

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) คาดการณ์ในขั้นต่ำว่า มีพลเมืองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่า 4 ล้านคน และมากถึง 1.7 ล้านคนเป็นคนที่ไม่มีเอกสาร IOM มีข้อสังเกตว่า เฉพาะในปี 2566 มีผู้เข้าเมืองจากเมียนมา 1.3 ล้านคนที่เดินทางข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทย โดยพลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมากที่เดินทางเข้าสู่ประเทศนี้ มุ่งแสวงหาหนทางในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะหลังเกิดการล่มสลายด้านเศรษฐกิจในเมียนมา และเกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรม อีกหลายคนหลบหนีมาจากการประหัตประหาร ความขัดแย้ง และการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารเมื่อเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาลทหาร แรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยไม่ได้เป็นกลุ่มบุคคลที่แยกขาดจากกัน แม้ว่านโยบายของประเทศไทยจะปฏิบัติต่อพวกเขาต่างกัน

ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (อนุสัญญาผู้ลี้ภัย 2494) หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 ในประเทศนี้ไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย หรือไม่มีขั้นตอนปฏิบัติในการขอที่ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ซึ่งพลเมืองจากทุกสัญชาติจะเข้าถึงได้ ในทางตรงกันข้าม ในปี 2566 รัฐบาลประกาศใช้กลไกคัดกรองระดับชาติ (NSM) ซึ่งอนุญาตให้บุคคลบางกลุ่มที่ไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนา เนื่องจากความกลัวต่อการประหัตประหาร สามารถขอความคุ้มครองได้ ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะได้รับสถานะตามกฎหมายของกฎหมายไทยในฐานะ "ผู้ได้รับการคุ้มครอง" แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความคุ้มครองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่กลไกคัดกรองระดับชาติ และระเบียบปฏิบัติยังคงกีดกันบุคคลบางสัญชาติไม่ให้เข้าถึงกลไกนี้ รวมทั้งแรงงานข้ามชาติ จากเมียนมา กัมพูชา และลาว นอกจากนั้น ผู้ที่ยื่นคำร้องเพื่อเข้าสู่กลไกคัดกรอง ยังคงเสี่ยงต่อการจับกุมและคุมขังตามกฎหมายคนเข้าเมืองของประเทศไทย ซึ่งมองว่าคนต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารเป็นคนที่ “ผิดกฎหมาย” ทำให้หลายคนไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการนี้

รายงานนี้เน้นที่การปฏิบัติมิชอบ ซึ่งพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทยต้องเผชิญ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการจับกุมและคุมขัง และมีโอกาสที่จะถูกเนรเทศอยู่เสมอ พลเมืองชาวเมียนมาจึงจำกัดการเดินทางของตนเอง ต้องอาศัยอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และไม่ให้คนอื่นเห็น ฮิวแมนไรท์วอทช์พบว่า ตำรวจไทยมักเรียกตรวจและสอบปากคำพลเมืองชาวเมียนมา มีการรีดไถเงินจากพวกเขา มีการขู่ว่าจะจับกุมและคุมขัง หากพวกเขาไม่ยอมจ่ายสินบน ซึ่งคิดเป็นเงินจำนวนมากพอสมควรสำหรับผู้มีรายได้น้อย ฮิวแมนไรท์วอทช์พบว่า การปฏิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในอำเภอชายแดน อย่าง อำเภอแม่สอด ในจังหวัดตาก ซึ่งการข่มขู่และการติดสินบนกลายเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไร ทำให้เจ้าหน้าที่ถึงกับเรียกพลเมืองชาวเมียนมาว่าเป็น “ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่”

ผู้ให้สัมภาษณ์บอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ว่า การปฏิบัติเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวและเป็นการข่มขู่ต่อพวกเขา หลังจากที่หลบหนีมาจากการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชน การขัดกันทางอาวุธ และวิกฤตด้านมนุษยธรรมในเมียนมา ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ชายขอบ และถูกแสวงหาประโยชน์ในประเทศไทย

เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยมีส่วนร่วมในขบวนการแสวงหาประโยชน์เหล่านี้ โดยผ่านการรีดไถในระบบอย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้ง “การขาย” “บัตรตำรวจ” อย่างไม่เป็นทางการ ให้กับพลเมืองชาวเมียนมาที่มองหาช่องทางที่จะมีเอกสาร หรือเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม ทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้สำหรับคนที่ไม่อยากจ่าย หรือไม่สามารถจะซื้อบัตรเหล่านี้ได้ คือการขังตัวเองอยู่ในบ้าน

ในอำเภอแม่สอด ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่า พวกเขาต้องจ่าย “ค่าสมัคร” รายเดือนประมาณ 300 บาท และต้องส่งภาพถ่ายของตนเองให้กับ “นายหน้า” ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ไว้กับพวกเขา เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อโดยตรงกับนายหน้าได้ กรณีที่ตำรวจไทยจับกุมตัวพวกเขาไว้ นายหน้าก็จะเข้ามาพูดคุยกับตำรวจว่า บุคคลดังกล่าวได้จ่ายเงินรายเดือนแล้ว และควรได้รับการปล่อยตัว

รูปแบบ “การคุ้มครอง” แบบหลวม ๆ และไม่เป็นทางการนี้ อาจเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนเล็กน้อย แต่สำหรับหลายคนที่ให้สัมภาษณ์ก็ถือเป็นเงินจำนวนมาก พวกเขาไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่า “บริการ” รายเดือน และจะนำเงินมาจ่ายก็ต่อเมื่อหางานทำได้แล้ว หรือจำเป็นต้องเดินทาง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ 8.5 เดือนและอาศัยอยู่ในเขตป่าใกล้กับอำเภอแม่สอดบอกว่า เธอต้องหาเงินมาจ่ายเป็นค่าเดินทางไปฝากครรภ์ที่สถานีอนามัย (เป็นการตรวจสุขภาพช่วง 24 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์) เธอกลัวว่าจะถูกจับเพราะไม่มีเอกสาร และไม่มีเงินจ่ายเพื่อทำบัตรตำรวจ

หลายครอบครัวที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในชนบท นอกอำเภอแม่สอด ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์ได้มีโอกาสพบ ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าและน้ำประปาสะอาด คาดการณ์ว่ามีพลเมืองชาวเมียนมาถึง 20,000 คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างจำกัด

แม้แต่ผู้ที่มีเงินจ่ายค่าสมัคร ก็อาจเสี่ยงที่จะถูกเนรเทศ ยังคงมีการเนรเทศพลเมืองชาวเมียนมาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเด็ก ตลอดทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า แม้ว่ามีการจ่ายเงินให้กับตัวเองและหลานสาวอายุ 12 ปี แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้จับกุมพวกเขาทั้งสองคน นำไปกักตัวไว้เป็นเวลาเก้าวัน จากนั้นจึงเนรเทศกลับไปเมียนมา

พลเมืองชาวเมียนมาส่วนใหญ่ซึ่งให้ข้อมูลกับฮิวแมนไรท์วอทช์ อยู่ระหว่างการลงทะเบียนหรือการต่ออายุบัตรแรงงานข้ามชาติ หรือที่มักเรียกว่า “บัตรชมพู” ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญสำหรับพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย และให้สถานะด้านกฎหมายกับพวกเขา ในกระบวนการนี้ นายจ้างจะต้องเป็นผู้รับรองแรงงานข้ามชาติ ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนทั้งที่ต่ออายุเอกสารตามช่องทางปรกติ (โดยรัฐบาลไทยจะประกาศบางช่วงเวลาให้บุคคลที่ไม่มีเอกสารหรือผู้เข้าเมือง สามารถขึ้นทะเบียนขอรับสถานะด้านกฎหมายได้) หรือบุคคลที่ขึ้นทะเบียนขอบัตรเป็นครั้งแรก จำเป็นต้องพึ่งพาบริการจากนายหน้าที่พวกเขาต้องจ่ายเงินให้ และมักต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารที่จำเป็น และเพื่อให้สามารถดำเนินการตามกระบวนการที่ซับซ้อนได้ ในทุกกรณีที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ตรวจสอบ ชื่อของนายจ้างที่ปรากฏในบัตรชมพูจะไม่ตรงกับนายจ้างที่แท้จริง เพราะเป็นชื่อของนายจ้างปลอม

แม้ว่าบัตรแรงงานข้ามชาติจะให้ความคุ้มครองอยู่บ้าง ทำให้ไม่ต้องเจอกับการจับกุม การคุมขัง และการถูกเนรเทศ แต่ก็ไม่ได้เป็นแนวทางคุ้มครองตามกฎหมาย สำหรับบุคคลที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ลี้ภัยโดยพฤนัย การใช้บริการของนายหน้าเพื่อสร้างนายจ้างตัวปลอมขึ้นมา ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกจับกุม กรณีที่มีการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไทย นอกจากนั้น จำนวนค่าบริการที่สูงลิ่วในการได้มาซึ่งเอกสารเหล่านี้ เป็นจำนวนเงินที่หลายคนไม่สามารถจ่ายได้ เพราะพวกเขาอาจเป็นแรงงานที่มีรายได้เพียง 250 บาทต่อวัน กรณีที่มีงานทำ การได้รับความคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ควรต้องพึ่งพาการจ่ายเงินเช่นนี้

ฮิวแมนไรท์วอทช์กระตุ้นรัฐบาลไทยให้ประกาศใช้กฎหมาย เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนปฏิบัติในการรับรองสถานะของผู้ลี้ภัย และให้ที่ลี้ภัยกับพวกเขาอย่างสอดคล้องตามมาตรฐานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ สถานะของผู้ลี้ภัยควรเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้สำหรับบุคคลจากทุกสัญชาติ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์แบบเดียวกัน สอดคล้องตามนิยามระหว่างประเทศของผู้ลี้ภัย รวมทั้งการมีรูปแบบความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับบุคคลที่หลบหนีมาจากความขัดแย้ง

ในเบื้องต้น ประเทศไทยควรประกาศใช้กรอบความคุ้มครองชั่วคราวสำหรับพลเมืองชาวเมียนมา (โปรดดูภาคผนวก) เมื่อตระหนักถึงความจำเป็นเฉพาะหน้าของบุคคลหลายพันคนที่หลบหนีมาจากการประหัตประหาร หรือความขัดแย้งในประเทศ ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้กล่าวอยู่เสมอว่า ไม่ควรมีการบังคับส่งกลับบุคคลไปเมียนมา “ผู้ที่หลบหนีจากเมียนมาต้องได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ดินแดนเพื่อแสวงหาที่ลี้ภัย และได้รับความคุ้มครองให้ปลอดพ้นจากการส่งกลับ”

ในบริบทเช่นนี้ ประเทศไทยควรดำเนินงานตามระบบที่อนุญาตให้พลเมืองชาวเมียนมา มีโอกาสที่จะขอรับสิทธิพำนักอาศัยตามกฎหมายในประเทศ อนุญาตให้พวกเขามีสิทธิในการทำงาน และสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและการศึกษาได้ คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งหน่วยงานภาคประชาสังคมของประเทศไทย ได้มีข้อเสนอที่คล้ายคลึงกันที่จะแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ และบรรเทาความทุกข์ยากของพลเมืองชาวเมียนมาหลายแสนคนที่ไม่มีเอกสาร


 

ข้อเสนอแนะ

 

สำหรับรัฐบาลไทย

  • ยุติการผลักดันกลับและการขับไล่แบบรวบรัดต่อพลเมืองชาวเมียนมาในทุกรูปแบบทันที ยึดมั่นตามพันธกรณีของไทยที่จะไม่ส่งกลับ ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566 ของประเทศไทย
  • ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 และกำหนดนิยามของผู้ลี้ภัยในกฎหมาย รวมทั้งขั้นตอนปฏิบัติในการแสวงหาที่ลี้ภัย โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายในประเทศซึ่งมีเนื้อหาสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ
  • ยกเลิกระเบียบการดำเนินงานตามกลไกคัดกรองระดับชาติของประเทศไทย ซึ่งกำหนดเงื่อนไขความคุ้มครองตามหลักของสัญชาติของผู้ที่ต้องการขอรับความคุ้มครอง
  • ดำเนินการตามนโยบายคุ้มครองชั่วคราว (โปรดดู ภาคผนวก) สำหรับพลเมืองชาวเมียนมาซึ่งหลบหนีมาจากเมียนมานับแต่การทำรัฐประหารในปี 2564 อนุญาตให้พวกเขาได้รับสถานะด้านกฎหมาย เสรีภาพในการเดินทาง และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ การศึกษา และการทำงาน
  • ในเบื้องต้นให้ยกเลิกข้อกำหนดให้พลเมืองชาวเมียนมาที่ประสงค์จะขอรับสถานะของแรงงานข้ามชาติ ควรต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์อัตลักษณ์ของทางการเมียนมา
  • ลงโทษทางวินัยหรือดำเนินคดีอย่างเหมาะสมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอื่น ๆ ซึ่งรีดไถหรือปฏิบัติมิชอบต่อผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้เข้าเมือง
  • ยุติการกักขังเด็กทั้งปวง โดยเป็นผลมาจากสถานะของการเข้าเมืองของพ่อแม่
  • ประกันว่า เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีสถานะของการเข้าเมืองหรือมีเอกสารหรือไม่ ต้องสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ และสามารถสมัครเข้าเรียนในระบบการศึกษาของรัฐในประเทศไทยได้
  • ประกันว่า พลเมืองชาวเมียนมาทุกคน ไม่ว่าจะมีสถานะของการเข้าเมืองอย่างไรก็ตาม ต้องสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย

สำหรับรัฐบาลทหารเมียนมา

  • ใช้มาตรการทั้งปวงที่จำเป็นเพื่อยุติการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และให้ลงโทษทางวินัยหรือดำเนินคดีกับผู้ที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติมิชอบนั้นอย่างเหมาะสม
  • ให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังโดยพลการทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข และยุติการจับกุมด้วยแรงจูงใจทางการเมือง
  • ยุติการลงโทษและฟ้องคดีด้วยแรงจูงใจทางการเมืองต่อบุคคลที่ถูกบังคับส่งกลับจากประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ไปเมียนมา
  • ยุติการบังคับการคัดเลือกและการเกณฑ์ทหาร ซึ่งละเมิดต่อมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งการคัดเลือกและการใช้เด็กในกองกำลังติดอาวุธ

สำหรับแหล่งทุนและรัฐบาลที่ให้สิทธิพักพิงกับผู้ลี้ภัย

  • ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการจัดทำกฎหมายผู้ลี้ภัย และการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
  • สนับสนุนประเทศไทยในการประกาศใช้นโยบายคุ้มครองชั่วคราว (โปรดดู ภาคผนวก) สำหรับพลเมืองชาวเมียนมาซึ่งหลบหนีมาจากการทำรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564
  • เพิ่มจำนวนประเทศเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่ เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากเมียนมาในประเทศไทย และจัดทำและสนับสนุนแนวทางเสริมที่เป็นมิตรเพื่อการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นระเบียบของพลเมืองชาวเมียนมา และพลเมืองจากประเทศที่สามอื่น ๆ ที่เดินทางออกจากประเทศไทย เพื่อให้สามารถกลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัว เพื่อให้มีโอกาสด้านการศึกษา และการมีงานทำ


 

 

วิธีวิทยา

รายงานนี้มีเนื้อหาหลักมาจากการสัมภาษณ์ 30 ครั้งกับพลเมืองชาวเมียนมา รวมทั้งผู้หญิง 11 คน ผู้ชาย 18 คน และเด็กผู้ชาย 1 คน และสมาชิกขององค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศและระหว่างประเทศ ตัวแทนจากหน่วยงานสหประชาชาติ และนักกฎหมายอีก 11 คน

พลเมืองชาวเมียนมาทุกคนที่ให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์ เดินทางมายังประเทศไทย ภายหลังการทำรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในเมียนมา การสัมภาษณ์ทั้งหมดเป็นการสัมภาษณ์โดยตรงในประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นอกนั้นเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในเดือนเมษายน 2568 การสัมภาษณ์ทั้งหมดอาศัยล่ามช่วยแปลจากภาษาพม่า โรฮิงญา หรือกะเหรี่ยง เป็นภาษาอังกฤษ

การสัมภาษณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัว โดยเป็นการสัมภาษณ์เพียงลำพัง หรือมีญาติอยู่ร่วมในการสัมภาษณ์ด้วย โดยมีหลักประกันการเก็บข้อมูลเป็นความลับ นักวิจัยแจ้งให้ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนทราบถึงเป้าประสงค์และการสัมภาษณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยสมัครใจ และแนวทางที่ฮิวแมนไรท์วอทช์จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ทุกคนจะได้รับแจ้งว่าจะสามารถปฏิเสธการตอบคำถามใด ๆ ก็ได้ หรือสามารถยุติการสัมภาษณ์ในเวลาใดก็ได้

ฮิวแมนไรท์วอทช์ไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน ไม่ได้ให้บริการ หรือให้ผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ กับผู้ให้สัมภาษณ์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ให้สัมภาษณ์ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่อันปลอดภัยเพื่อการสัมภาษณ์ จะมีการจ่ายให้ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 300 บาท แลหากมีความเหมาะสม ฮิวแมนไรท์วอทช์จะให้ข้อมูลกับผู้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการติดต่อหน่วยงานที่ให้บริการด้านมนุษยธรรม บริการด้านกฎหมาย สังคม หรือการให้คำปรึกษา

ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้เขียนจดหมายถึงหน่วยราชการไทย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568

เพื่อการเก็บข้อมูลเป็นความลับ เราจึงใช้นามแฝงสำหรับผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคน


 

ข้อมูลพื้นฐาน

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมาจับกุมแกนนำพลเรือนของรัฐบาลระดับชาติและรัฐ และประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเวลาหนึ่งปี”[1] พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้จัดตั้งสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) เพื่อเป็นรัฐบาลทหาร และแต่งตั้งตนเองเป็นประธาน

ได้เกิดการต่อต้านการทำรัฐประหารทันทีที่กรุงย่างกุ้ง และหลายเมืองและอำเภอตลอดทั้งประเทศ กองกำลังความมั่นคงใช้แนวทางอย่างที่เคยทำมาในอดีต เพื่อตอบโต้กับการประท้วงต่อต้านอย่างสงบ กล่าวคือการยิงปืนใส่ผู้ประท้วง การสลายการชุมนุมอย่างทารุณ และการจับกุมบุคคลจำนวนมาก พวกเขามีเป้าหมายเป็นบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม รวมทั้งนักกิจกรรม นักศึกษา ผู้สื่อข่าว ผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม นักกฎหมาย และผู้นำทางศาสนา คนที่ถูกจับกุมจะตกเป็นเหยื่อของการทรมาน การข่มขืน และการบังคับให้สูญหาย สำหรับผู้ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล พวกเขาก็แทบไม่มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอันควรตามกฎหมายเลย Assistance Association for Political Prisoners (Burma) รายงานในปี 2568 ว่า นับแต่การทำรัฐประหาร กองกำลังของรัฐบาลได้จับกุมบุคคลโดยพลการอย่างน้อย 30,000 คน [2]

ฮิวแมนไรท์วอทช์และหน่วยงานอื่น ๆ มีข้อสรุปว่า การปราบปรามของรัฐบาลทหารรวมถึงการโจมตีอย่างกว้างขวางและเป็นระบบต่อกลุ่มประชากร และมีลักษณะเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ[3] กลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมา (IIMM) ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ รายงานว่าได้ค้นพบหลักฐานที่หนักแน่นว่า

ได้มีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติหลายประการ ในระหว่างการปราบปรามผู้เห็นต่างหลังการทำรัฐประหาร รวมทั้งการทรมาน การข่มขืน และการใช้ความรุนแรงทางเพศในรูปแบบอื่น การประหัตประหารด้วยเหตุผลที่ทับซ้อนกัน รวมทั้งเหตุผลทางเพศสภาพ รสนิยมทางเพศ สายสัมพันธ์ทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์ การบังคับให้สูญหาย การคุมขัง การสังหาร และการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่น ๆ[4]

ไม่นานหลังจากเมียนมาประกาศเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 ได้เกิดการขัดกันทางอาวุธหลายครั้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ กับรัฐบาลกลางของประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราช ขบวนการติดอาวุธฝ่ายต่อต้านซึ่งบางกลุ่มมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนจะได้รับเอกราช ได้รวมตัวกันอยู่ในรัฐชาติพันธุ์เจ็ดแห่งของประเทศ กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่การขอแยกประเทศ ไปจนถึงการขออำนาจปกครองตนเอง และการได้รับสิทธิในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐของเมียนมา ความขัดแย้งเหล่านี้หลายส่วนยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน[5]

กองทัพและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธในบางส่วน ต่างมีส่วนรับผิดชอบเป็นเวลานานต่อการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมทั้งการโจมตีอย่างจงใจหรือไม่เลือกเป้าหมายต่อพลเรือน การสังหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย การทรมาน ความรุนแรงทางเพศ การใช้ทหารเด็ก และการคัดเลือก และการบังคับใช้ด้านแรงงานอย่างมิชอบด้วยกฎหมายในพื้นที่สู้รบ[6] เจ้าหน้าที่ทหารที่มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงคราม มักลอยนวลพ้นผิดเกือบจะสิ้นเชิง

นับแต่ปีที่มีการทำรัฐประหาร ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้เปลี่ยนจากการทำอารยะขัดขืน เป็นการสู้รบด้วยอาวุธในวงกว้าง มีการจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลทหารจำนวนหลายร้อยคน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีความเชื่อมโยงกับกองทัพ โดยพวกเขามักให้ความร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ การปะทะกันระหว่างกองทัพกับกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ของรัฐ เกิดขึ้นใน 14 รัฐและภาค

รัฐบาลทหารเมียนมาได้ใช้ “กลยุทธ์ผลาญภพ” มาเป็นเวลานานแล้วในพื้นที่ของฝ่ายต่อต้าน เป็นการก่ออาชญากรรมสงครามมากมาย ในขณะที่รัฐบาลทหารสูญเสียพื้นที่ไปตั้งแต่ปลายปี 2566 ส่งผลให้มีการโจมตีอย่างมิชอบด้วยกฎหมายเพิ่มมากขึ้นต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมทั้งการโจมตีทางอากาศโดยไม่เลือกเป้าหมาย การสังหาร การข่มขืน และความรุนแรงทางเพศ การทรมานและการวางเพลิง[7]

การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเกือบทุกพื้นที่ของรัฐและภาคในประเทศ[8] รัฐบาลทหารไม่ได้ผ่อนคลายการปิดกั้นการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็น และใช้เป็นวิธีการเพื่อลงโทษแบบกลุ่มต่อประชากรพลเรือน การปิดกั้นเช่นนี้เป็นการหนุนเสริมยุทธศาสตร์ “สี่ตัด” ของกองทัพที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ทั้งนี้เพื่อกระชับอำนาจควบคุมพื้นที่ด้วยการกีดกันและสร้างความหวาดกลัวต่อพลเรือน ด้วยเหตุดังกล่าว กองทัพจึงเพิ่มการใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามในพื้นที่พลเรือนตลอดทั้งประเทศ ปัจจุบันเมียนมาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายจากทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดมากสุดในโลก[9] กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารฉบับใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพล ส่งผลให้เกิดการปฏิบัติมิชอบอย่างสม่ำเสมอ[10]

ประชาชนตลอดทั้งประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ข้อบกพร่องของบริการด้านสุขภาพ ความไม่มั่นคงด้านอาหาร เงินเฟ้อ การสูญเสียอาชีพ และการขาดแคลนบริการสาธารณะที่จำเป็น หายนะเหล่านี้นำไปสู่ความต้องการด้านมนุษยธรรมที่สูงในระดับที่น่าตกใจ โดยคาดว่ามีประชาชน 19.9 ล้านคน หรือกว่าหนึ่งในสามของประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือ[11]

คนเชื้อสายพม่าที่เป็นคนส่วนใหญ่และชาวบ้านที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก ได้เดินทางออกจากเมียนมาไปยังประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ เป็นการชั่วคราวหรือถาวร สืบเนื่องจากการกดขี่ทางการเมือง การขัดกันทางอาวุธ และการเกณฑ์ทหาร และภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือต้องการแสวงหาโอกาสด้านเศรษฐกิจ

การทำรัฐประหารและผลกระทบหลังจากนั้น ยิ่งทำให้มีการอพยพไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) คาดการณ์ว่า นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา 184,600 คน ที่แสวงหาที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน ตามข้อมูลของรัฐบาลไทย ผู้อพยพย 52,000 คนที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยนับแต่การทำรัฐประหาร ได้เดินทางกลับไปเมียนมาแล้ว[12] แต่ตัวเลขนี้เป็นเพียงจำนวนผู้ที่เข้ามาอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว และเป็นตัวเลขจากการนับอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ไทย

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนภาพรวมของการอพยพเข้าทั้งหมด องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) คาดการณ์ว่าจนถึงปี 2567 มีแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมากว่า 4 ล้านคนในประเทศไทย และประมาณ 1.7 ล้านคนเป็นบุคคลไม่มีเอกสาร

IOM มีข้อสังเกตว่า

เฉพาะในปี 2566 ....พลเมืองชาวเมียนมาอย่างน้อย 1.3 ล้านคนข้ามพรมแดนเข้ามา ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 IOM รายงานว่ามีการเดินทางข้ามพรมแดน 649,000 คน คิดเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 ของการเดินทางเข้าประเทศในระยะยาวเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร [ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567] การเดินทางจากเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มสูงสุดในเดือนมีนาคมและเมษายน โดยมีจำนวนมากกว่า 330,000 คนตามข้อมูลของ IOM เปรียบเทียบกับการเดินทางเข้ามา 96,000 คนในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว[13]

IOM ยังบอกต่อไปว่า ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนพลเมืองชาวเมียนมาที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยระบุว่ามีเหตุผลมาจากความขัดแย้งและการประหัตประหาร[14] ในเดือนพฤษภาคม 2567 UNHCR ระบุว่า

บุคคลซึ่งหลบหนีออกจากเมียนมา อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ในบริบทของความขัดแย้งระหว่างกองทัพ, กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน น่าจะมีความต้องการความคุ้มครองผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ ตามข้อ 1 ของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (อนุสัญญา พ.ศ. 2494) หรือตามหลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในอำนาจหน้าที่ของ UNHCR หรือตามกฎบัตรภูมิภาค[15]

กรอบความคุ้มครองของประเทศไทย

ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 โดยมีการยอมรับบุคคลที่ต้องการความคุ้มครอง บนพื้นฐานของระเบียบที่แตกต่างและซ้ำซ้อนกัน และมีการจำแนกเหตุผลตามสัญชาติและตำแหน่งที่ตั้งในดินแดนของประเทศ เนื่องจากไม่มีกรอบกฎหมายจึงส่งผลให้ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยอยู่ในสภาพที่เปราะบาง ทำให้การพำนักอาศัยในประเทศไทยขาดความแน่นอน และทำให้สถานะของพวกเขาขาดความชัดเจน ประเทศไทยไม่ได้ยอมรับคำว่า “ผู้ลี้ภัย” แต่กลับเลือกใช้คำศัพท์ที่มีความหมายแคบกว่า รวมทั้งผู้ “พลัดถิ่นฐาน” หรือ “ผู้หนีภัยการสู้รบ” โดยไม่มีการอ้างอิงถึงบุคคลที่หลบหนีมาจากการประหัตประหาร

ผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสารจะได้รับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ของประเทศไทย ซึ่งกำหนดว่าบุคคลใดที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต “ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท (มาตรา 62)” และคนต่างด้าว “ผู้ใดอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุดหรือถูกเพิกถอน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 81)”[16]

ที่พักพิงชั่วคราว

พื้นที่รองรับการลี้ภัยในระยะยาวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยสำหรับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา รวมถึงค่ายผู้อพยพอย่างเป็นทางการเก้าแห่งตามแนวพรมแดนความยาว 2,107 กิโลเมตร ติดกับประเทศเมียนมา ซึ่งผู้อพยพที่เข้ามาใหม่ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในค่ายเหล่านี้ได้ ไม่มีการตั้งค่ายพักพิงอย่างเป็นทางการสำหรับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนไทใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาหลายทศวรรษแล้ว ค่ายพักพิงที่ตั้งขึ้นมาเป็นเวลานานรองรับประชากรผู้ลี้ภัยประมาณ 90,000 คน หลายคนอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980[17] แม้ว่าค่ายพักพิงเหล่านี้จะให้ความคุ้มครองกับผู้อยู่อาศัยในระดับหนึ่ง แต่รัฐบาลไทยมีข้อกำหนดที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมเสรีภาพในการเดินทางของผู้ลี้ภัย ห้ามไม่ให้พวกเขาเดินทางออกจากค่าย ห้ามไม่ให้หารายได้ หรือไม่ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดี 

นับแต่การทำรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ประเทศไทยได้จัดตั้งพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวเพิ่มขึ้นตามพรมแดนประเทศเมียนมา แม้ว่ารัฐบาลไทยอนุญาตให้ผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวอย่างไม่เป็นทางการใกล้กับพรมแดนได้ แต่ก็มีการผลักดันให้พวกเขาเดินทางกลับเป็นระยะ ผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในปัจจุบัน และเจ้าหน้าที่ไทยจะจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเขาอย่างเข้มงวด รวมทั้งจำกัดการเข้าถึงความช่วยเหลือและบริการด้านมนุษยธรรม[18] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กระทรวงมหาดไทยของประเทศไทยได้เผยแพร่แผนงานที่จะจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยแห่งใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ที่รองรับประชากรได้ประมาณ 100,000 คนตามแนวพรมแดน โดยจะเป็นที่พักชั่วคราวให้กับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่หลบหนีมาจากความรุนแรงช่วงหลังการทำรัฐประหาร[19] ในเดือนเมษายน 2568 UNHCR มีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยได้ปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับผู้อพยพเข้า และอนุญาตให้ UNHCR เข้าถึงพลเมืองชาวเมียนมาที่เดินทางเข้ามาได้[20]

กลไกคัดกรองระดับชาติ

ในปี 2562 ประเทศไทยได้จัดทำกลไกคัดกรองระดับชาติ (NSM) เพื่อให้สถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” กับพลเมืองต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ เนื่องจากมีความกลัวอย่างชอบด้วยเหตุผลต่อการประหัตประหาร[21] ในเดือนกันยายน 2566 คณะกรรมการที่จัดตั้งโดยรัฐบาลได้เริ่มคัดกรองผู้ขอรับการคุ้มครองตามกลไกนี้ แต่ไม่ยอมให้แรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมา กัมพูชา และลาวมีสิทธิในกระบวนการนี้ หน่วยงานสิทธิมนุษยชนและแรงงานออกมาวิจารณ์ข้อห้ามดังกล่าว[22] ระหว่างที่เขียนรายงานนี้ ยังไม่มีพลเมืองชาวเมียนมารายใดที่ยื่นคำขอเป็น “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” ตามกลไกคัดกรองระดับชาติ

การไม่ส่งกลับตามกฎหมายในประเทศ

ในวันที่ 25 ตุลาคม 2565 รัฐบาลไทยได้ประกาศพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวจัดทำขึ้นตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ในส่วนของพันธกรณีของการไม่ส่งกลับ ซึ่งห้ามประเทศต่าง ๆ ส่งกลับบุคคลใด ๆ ไปยังสถานที่ใด ๆ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่าจะต้องเผชิญกับการประหัตประหาร การทรมาน หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างร้ายแรงอื่นใด กรณีที่มีภัยคุกคามต่อชีวิต หรือต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงอื่น ๆ แม้กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว ประเทศไทยยังคงละเมิดพันธกรณีนี้ต่อไป ตั้งแต่การผลักดันกลับพลเมืองชาวเมียนมาที่พรมแดน ไปจนถึงการเนรเทศชาวอุยกูร์ไปประเทศจีน ซึ่งทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกทรมาน และถูกคุมขังเป็นเวลานาน[23] ในเดือนกันยายน 2567 ศาลอาญากรุงเทพฯ ไม่คำนึงถึงพันธกรณีที่จะไม่ส่งกลับของประเทศไทย และวินิจฉัยว่ารัฐบาลสามารถส่งตัว อี ควิน เบดั๊บ นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนชาวเผ่ามองตานญาดที่อยู่ระหว่างลี้ภัย กลับไปเวียดนามได้[24]

แรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศเป้าหมายของแรงงานข้ามชาติตลอดทั้งภูมิภาคมาเป็นเวลานานแล้ว แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่จะมาจากเมียนมา กัมพูชา และลาว โดยส่วนใหญ่จะมาจากเมียนมา ตามข้อมูลของ IOM ในบรรดาบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย 5.2 ล้านคนซึ่งอาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2567 มีอย่างน้อย 1.8 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้เข้าเมืองไม่ปรกติ[25] IOM ระบุว่า “เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูง การที่ต้องรอเป็นเวลานาน และระบบราชการที่ซับซ้อน ทำให้หลายคนไม่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย”[26]

ตามการประเมินของ IOM “พลเมืองชาวเมียนมา 1.3 ล้านคนเดินทางข้ามพรมแดนเข้ามาระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม 2567” และร้อยละ 25 ของผู้ที่เดินทางเข้ามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ต่างระบุว่า ความขัดแย้งและการเลือกปฏิบัติเป็นเหตุผลที่ผลักดันให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย[27]

ชัดเจนว่าตามข้อมูลเหล่านี้ ผู้เข้าเมืองจากเมียนมาเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยเป็นส่วนหนึ่งของ “การเข้าเมืองแบบผสมผสาน” ในช่วงเวลาต่าง ๆ การเข้าเมืองแบบผสมผสานหมายถึงว่าบุคคลเดินทางข้ามพรมแดนด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน รวมทั้งผู้ที่อาจมีคุณสมบัติที่จะได้รับสถานะของผู้ลี้ภัย หรือรูปแบบความคุ้มครองอื่น ๆ และการได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจ หรือในฐานะเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ คนที่เป็นโสดอาจถูกจัดเข้าไปได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม

IOM มีข้อสังเกตว่า “นับแต่เดือนมีนาคม 2566 IOM สังเกตเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ร้อยละ 60 ของพลเมืองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในระยะยาวไม่มีเอกสาร ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง การแสวงหาประโยชน์ และการปฏิบัติชอบ”[28]

มีสองช่องทางหลักที่แรงงานข้ามชาติจากเมียนมา จะสามารถขอรับเอกสารด้านสถานะบุคคล รวมทั้ง 1) โดยผ่านบันทึกความเข้าใจ (MoU) ซึ่งเป็นโครงสร้างแบบทวิภาคีของความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างประเทศเมียนมาและไทย หรือ 2) โดยผ่านช่องทางการขอรับสถานะ โดยรัฐบาลไทยจะมีการออกมติคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดช่วงเวลาผ่อนผันให้ผู้เข้าเมืองสามารถขอรับเอกสารเกี่ยวกับสถานะของตนเองได้

แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาตาม MoU มักเริ่มต้นจากกระบวนการขอมีเอกสาร และสมัครเข้ามาในช่องทางการอพยพของแรงงานตั้งแต่ตอนที่อยู่นอกประเทศไทย และจะได้รับการปฐมนิเทศเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย แม้ว่าในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นที่พลเมืองชาวเมียนมาจะเดินทางออกนอกประเทศ ตามช่องทางอย่างเป็นทางการ สืบเนื่องจากมาตรการที่จำกัดสิทธิเพิ่มขึ้นของรัฐบาลทหาร และนับแต่มีการประกาศใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารฉบับใหม่[29] ผู้ที่ประสงค์จะขอรับสถานะบุคคลในช่วงที่มีการประกาศผ่อนผัน โดยทั่วไปแล้วเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว ในบรรดาแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา มีแรงงานตาม MoU เพียงร้อยละ 12 ส่วนอีกร้อยละ 88 จะขอรับสถานะบุคคลเมื่ออยู่ในประเทศแล้ว และเมื่อมีการผ่อนผันให้ทำได้[30]

การได้รับสถานะบุคคลในช่วงที่มีการผ่อนผัน เป็นกระบวนการที่ต้องทำเป็นขั้นตอน โดยในตอนแรก ต้องมีการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลจากทางการเมียนมา (ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงภัยอย่างมากสำหรับคนที่เพิ่งหลบหนีออกจากประเทศ) ส่งผลให้ได้รับหนังสือสำคัญประจำตัว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ไม่มีหนังสือเดินทางเมียนมา ในขั้นที่สอง คือการขอรับ “บัตรชมพู” ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะด้านกฎหมายของผู้เข้าเมือง และสิทธิในการทำงาน และขั้นที่สาม การได้รับใบอนุญาตทำงาน แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการขอรับเอกสารของแรงงานข้ามชาติคิดเป็นเงิน 2,530 บาท แต่ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่า พวกเขามักจ่ายเงินมากกว่านั้นให้กับนายหน้าเพื่อให้ได้รับสถานะบุคคล
 

การไม่มีเอกสารในประเทศไทย

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานคาดการณ์ในขั้นต่ำว่า มีพลเมืองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 1.7 ล้านคนจาก 4.1 ล้านคนที่ไม่มีเอกสาร[31] ประชากรส่วนใหญ่ที่ไม่มีเอกสาร มักไม่สามารถเข้าถึงความคุ้มครอง และเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการคุกคาม การจับกุม การคุมขัง การแสวงหาประโยชน์ และการถูกเนรเทศโดยทางการไทย แม้จะเผชิญกับอุปสรรคเหล่านี้ แต่สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงในเมียนมา ผลักดันให้ประชาชนหลายแสนคนเดินทางข้ามพรมแดน และแสวงหาความปลอดภัยและโอกาสด้านเศรษฐกิจในประเทศไทย แม้ประชากรผู้เข้าเมืองจะมีความหลากหลาย และผู้ที่หลบหนีจากสถานการณ์ในเมียนมาต้องการและจำเป็นที่จะมีงานทำ แต่เราก็ไม่สามารถจัดประเภทให้พวกเขาเป็นผู้อพยพด้านเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน เพราะเหตุผลเบื้องหลังที่ผลักดันให้พวกเขาอพยพเข้ามา คือความต้องการที่จะได้รับความคุ้มครอง ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้พูดคุยกับผู้เข้าเมืองชาวเมียนมาที่เคยถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกทรมาน และถูกรีดไถในเมียนมา แต่ทางการไทยโดยทั่วไปแล้วมักจัดประเภทว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพด้านเศรษฐกิจ กฎหมายเข้าเมืองของไทยทั้งกีดกันไม่ให้พลเมืองชาวเมียนมาได้รับสถานะของผู้ลี้ภัย และยังทำให้พลเมืองชาวเมียนมาส่วนใหญ่เสี่ยงที่จะถูกจับกุม คุมขัง และถูกเนรเทศ[32]

ความกลัวว่าจะถูกส่งกลับไปเมียนมา

พลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย ซึ่งหลบหนีมาจากภัยคุกคามร้ายแรงเนื่องจากการประหัตประหาร หรือสภาพของความขัดแย้ง และผู้ที่กลัวการเดินทางกลับด้วยเหตุผลดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยโดยพฤตินัย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แสวงหาที่ลี้ภัย หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียน หรือไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ไทย หรือ UNHCR ในฐานะผู้ลี้ภัย การขาดกรอบกฎหมายที่ยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย หรือการขาดการเข้าถึงขั้นตอนปฏิบัติ ไม่ได้ทำให้พวกเขาขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งมีเหตุผลอันชอบที่จะขอรับความช่วยเหลือและความคุ้มครองจากองค์การสหประชาชาติและรัฐบาลไทย

ทุกคนที่ให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์บอกว่า พวกเขาไม่สามารถและไม่ประสงค์จะเดินทางกลับไปเมียนมา แม้จะมีเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนมักระบุถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการกดขี่และความขัดแย้งในเมียนมา รวมถึงความกลัวต่อการประหัตประหาร และความกลัวโดยทั่วไปเนื่องจากความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

ขิ่น จี ผู้สื่อข่าววัย 33 ปี จากย่างกุ้ง บอกว่าตอนที่เกิดการทำรัฐประหาร เธอได้เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารที่จัดขึ้นในหลายพื้นที่ของเมืองหลายครั้ง:

ดิฉันได้เข้าร่วม และรายงานข่าวการประท้วงต่อต้านรัฐประหารหลายครั้ง เป็นเหตุให้ต้องหลบหนีออกมา เมื่อเริ่มมีการจับกุม เพื่อนของดิฉันก็ถูกจับเช่นกัน ดิฉันมีหมวกกันน็อกที่ใช้สวมตอนทำงานเป็นผู้สื่อข่าวอยู่ที่บ้าน ดิฉันได้ข่าวว่าตำรวจจะออกมาตรวจจับคนตอนเที่ยงคืนที่บ้าน จึงมีความกังวลว่าพวกเขาจะมาค้นหาดิฉันที่บ้านด้วย ในบัตรประชาชนระบุว่าอาชีพดิฉันคือผู้สื่อข่าว ทำให้ดิฉันกลัว และได้หลบหนีเข้าไปในป่า [ในฝั่งเมียนมาติดกับพรมแดนประเทศไทย][33]

ขิ่น จีได้หลบซ่อนตัวและทำงานในพื้นที่ใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางมาแสวงหาที่ลี้ภัยในประเทศไทย

หน่วยงานของรัฐบาลทหารได้จับกุมผู้สื่อข่าวหลายร้อยคนนับแต่การทำรัฐประหาร[34]

จอ ทู ชายวัย 33 ปี จากรัฐยะไข่ ถูกคุมขังที่ภาคอิรวดีในเมียนมาเป็นเวลาสองปี หลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงหลายปีหลังการทำรัฐประหาร เขาอธิบายว่า หน่วยงานของรัฐบาลทหารได้ออกหมายจับเขา ทำให้เขาต้องหลบหนีไปมัณฑะเลย์ในเมียนมา แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่มย่องเมียะซึ่งเป็นที่ ๆ เขาอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกชาย และต่อมาเขาได้ถูกจับกุม เขาบอกว่า

ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำในเมียนมา ระหว่างการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่เรือนจำจะซ้อมทรมานและใช้ปืนทุบตีผม ผมป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพราะการกระทำเช่นนี้ และเป็นเหตุให้ต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีกซ้าย และป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง [โดยเป็นผลมาจากการทรมาน]

จอ ทู ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนมกราคม 2568 และบอกว่า ตอนที่เดินออกมาจากสถานคุมขัง ตำรวจมายืนรอแล้วที่ประตูเรือนจำ

[ตำรวจ] ได้อายัดตัวผมอีก และนำตัวไปโรงพัก ผมถามว่าทำไมถึงต้องจับผมอีก พวกเขาบอกว่า “นายพล” กำลังรอที่จะพบตัวผม ผมได้พบกับนายพลซึ่งสอบปากคำผม และปล่อยตัวผมหลังจากขังไว้สองคืน ผมรู้ว่าไม่มีความปลอดภัยเลย ก่อนหน้านี้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับการเมือง สภาบริหารแห่งรัฐ [รัฐบาลทหาร] มองว่าผมเป็นภัยคุกคาม[35]

หลังได้รับการปล่อยตัวจากโรงพัก จอ ทูจึงหลบหนีไปประเทศไทยทันที

ประชาชนกว่า 2,000 คนเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของรัฐบาลทหาร แม้ว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้ มีการใช้การทรมาน ความรุนแรงทางเพศ และการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่น ๆ อย่างกว้างขวางในเรือนจำ ศูนย์สอบปากคำ ฐานทัพทหาร และสถานควบคุมตัวอื่น ๆ มีรายงานกรณีการข่มขืน การทุบตี การบังคับให้อยู่ในท่าซึ่งทำให้เมื่อยล้าเป็นเวลานาน การใช้ไฟช็อต และการใช้ไฟลน และการบังคับให้อดอาหาร อดน้ำ และอดนอน[36]

เมียะ เมียะ ผู้หญิงวัย 65 ปี จากรัฐยะไข่ หลบหนีไปย่างกุ้งในเดือนธันวาคม 2567 เมื่อเกิดการสู้รบอย่างหนักในหมู่บ้านของเธอ ความเป็นปรปักษ์ระหว่างกองทัพและกองทัพอาระกันในรัฐยะไข่ ได้สร้างความตึงเครียดอย่างมากตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 โดยกองกำลังทั้งสองฝ่ายได้ทำการสังหารหมู่ วางเพลิง และมีการเกณฑ์พลเรือนไปรบอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย[37]

เมียะ เมียะเดินทางมาถึงอำเภอแม่สอดในเดือนธันวาคม 2567:

ดิฉันไม่มีบ้านที่รัฐยะไข่อีกต่อไปแล้ว เพราะถูกทำลายไปหมด ลูกสาวยังอยู่ที่นั่น เธอบอกว่าบ้านของเราถูกระเบิดทำลายไปหมด ดิฉันเป็นเกษตรกรจากรัฐยะไข่ เรามีที่ดิน แต่เพราะดิฉันอายุมาก จึงไม่สามารถ [ทำงานเกษตร] ได้อีกต่อไป เราเคยปล่อยให้เช่าที่ดินเพื่อหารายได้ แต่ปีที่แล้ว ไม่มีคนมาเช่าที่ดินของเราเลยเนื่องจากความขัดแย้งที่เป็นอยู่[38]

ปัจจุบันเมียะ เมียะอาศัยอยู่ในเซฟเฮาส์ในอำเภอแม่สอด ในประเทศไทย เธอไม่กล้าออกไปไหนเพราะไม่มีเอกสาร และกลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ไทยเรียกตรวจ

การบังคับเกณฑ์ทหาร

การบังคับเกณฑ์ทหารต่อบุคคลอายุ 18 ปีและกว่านั้น โดยทั่วไปแล้ว สามารถกระทำได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ[39] เพื่อให้การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการทหารเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์บางประการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย กล่าวคือการดำเนินงานในลักษณะที่ไม่เป็นการกระทำโดยพลการ หรือไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และการอนุญาตให้มีการขัดขืนด้วยเหตุผลด้านมโนธรรมสำนึก และสามารถปฏิเสธคำสั่งด้วยการฟ้องศาลได้[40] การเกณฑ์ทหารเด็กเป็นเรื่องต้องห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ[41] ฮิวแมนไรท์วอทช์กังวลอย่างยิ่งว่าไม่ควรปล่อยให้การเกณฑ์ทหารในเมียนมา ตกอยู่ใต้การใช้อำนาจตามดุลพินิจโดยไม่มีขีดจำกัดของเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นหรือกลุ่มที่บังคับบุคคลให้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ควรเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องตามมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดไว้ในระดับชาติ

ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 รัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกคำสั่งเพื่อประกาศใช้กฎหมายการรับราชการทหารของประชาชน พ.ศ. 2553 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ โดยกำหนดให้ผู้ชายอายุระหว่าง 18-35 ปี ผู้หญิงอายุระหว่าง 18-27 ปี และผู้ชายและผู้หญิงซึ่งเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งมีอายุระหว่าง 45 และ 35 ปีตามลำดับ อาจถูกบังคับให้ต้องรับราชการทหารในกองทัพ ระยะเวลาของการเกณฑ์ทหารมักอยู่ที่สองปี แต่อาจมีการขยายเป็นห้าปีกรณีที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังเช่นบริบทในปัจจุบัน กฎหมายนี้อนุญาตให้ใช้ทหารเกณฑ์เพื่อทำงานในส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการทหารทั้งหมด ซึ่งถือว่าขัดแย้งกับพันธกรณีของเมียนมาตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ[42]

ในรายงานเดือนพฤศจิกายน 2567 ไอแอลโอได้อ้างข้อมูลของสหพันธ์สหภาพแรงงานแห่งเมียนมา และมีข้อสังเกตว่า การเกณฑ์ทหารเป็นปัจจัยผลักดันให้ประชาชนจำนวนมากหลบหนีออกจากประเทศ “คนจำนวนมากได้หลบหนีมาที่อำเภอแม่สอด ประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคัดเลือกเข้ารับราชการทหาร แม้อาจต้องเผชิญกับความยากลำบากแบบใหม่ รวมทั้งการที่ไม่มีเอกสาร ทำให้เกิดปัญหาในการหางานทำ”[43]

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กองทัพเมียนมาจะใช้ยุทธวิธีเกณฑ์ทหารที่ละเมิดสิทธิ ในช่วงปีที่แล้ว หน่วยงานของรัฐบาลทหารใช้วิธีลักพาตัวและกักขังสมาชิกในครอบครัว เพื่อบังคับให้คนเข้ารับการเกณฑ์ทหาร รวมทั้งผู้ที่เป็นเด็ก[44] ทหารเกณฑ์จะถูกใช้งานเป็นโล่มนุษย์ และเป็นคนงานแบกหามในแนวหน้า องค์การสหประชาชาติได้ตรวจสอบพบว่ากองทัพได้มีการเกณฑ์ทหารและใช้ทหารเด็กกว่า 1,900 คนระหว่างเดือนกรกฎาคม 2563 ถึงเดือนธันวาคม 2566 และมีข้อสังเกตว่า “จำนวนที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก”[45]

ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนบอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ว่า พวกเขาหลบหนีมาจากเมียนมาเพราะไม่ต้องการถูกเกณฑ์ทหาร

ซอ วิน ชายอายุ 21 ปีจากภาคอิรวดี หลบหนีจากการเกณฑ์ทหารในเมียนมาเนื่องจากการปฏิบัติมิชอบของกองทัพ

ผมเดินทางออกจากเมียนมาเดือนธันวาคม 2567 เพราะกฎหมายเกณฑ์ทหาร ในอดีต สภาบริหารแห่งรัฐจะใช้วิธีจับฉลาก [การจับใบดำใบแดงเพื่อคัดเลือกทหารเกณฑ์] แต่ในปัจจุบัน พวกเขา [กองทัพ] จะไปตามลากตัวประชาขนมาจากบ้าน ที่บ้านเล่าให้ผมฟังอย่างนั้น ผมคิดถึงครอบครัว และต้องการกลับไปอยู่ร่วมกับเขา พอได้ยินข่าวนี้ และพอครอบครัวบอกให้ผมไม่ต้องกลับมา....เพราะผมไม่ต้องการไปเป็นทหาร ผมไม่ต้องการฆ่าพลเรือน ผมได้ยินข่าวลือว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในสนามรบ และผมไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้ ผมไม่ได้มีแนวคิดเรื่องการเมือง ผมทำธุรกิจหมากพลู[46]

ซอ วิน อาศัยแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในอำเภอแม่สอด ในประเทศไทย เขาไม่กล้าเดินทางออกจากบ้าน เพราะไม่มีเอกสารที่จะคุ้มครองเขาจากการจับกุมและคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ไทย

UNHCR ยอมรับว่าบุคคลซึ่งหลบหนีจากการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ อาจขอรับสถานะของผู้ลี้ภัยได้[47] แนวปฏิบัติ UNHCR ว่าด้วยความคุ้มครองระหว่างประเทศปี 2557 ระบุว่า “บุคคลอาจ...ขัดขืนการเข้าร่วมในการดำเนินงานทางทหารเพราะ....พวกเขาอาจต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ซึ่งละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรม กฎหมายอาญา และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ”[48]

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กองทัพเมียนมาได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมที่ทารุณอย่างอื่น ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ขอให้มีการออกหมายจับพลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา จากการมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นกับประชากรชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ในปี 2560[49] พนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ บอกว่า อาชญากรรมตามข้อกล่าวหานี้เป็นผลงานของกองทัพเมียนมา และได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานตำรวจระดับชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ[50] หน่วยงานสหประชาชาติ รัฐบาล และหน่วยงานสิทธิมนุษยชน ยังรายงานว่ามีการละเมิดอย่างรุนแรงต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยกองทัพเมียนมา[51]

กลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมาได้ระบุในรายงานประเทศเมียนมาเดือนกรกฎาคม 2567 ว่ามี:

 

“พยานหลักฐานหนักแน่นว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหลายครั้ง....แบบแผนดังกล่าวทวีความรุนแรงและขยายตัวไปทั่วประเทศ และทางกลไกได้รวบรวมรายงานที่น่าเชื่อถือว่ามีการทารุณกรรมเกิดขึ้นในระดับที่น่าตกใจ[52]

ศาลยุติธรรมยุโรปยังพบว่า “ในบริบทของการขัดกันทางอาวุธ โดยเฉพาะในสงครามกลางเมือง และในกรณีที่ไม่มีช่องทางตามกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพันธกรณีทางทหาร มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ทางการจะตีความว่า การปฏิเสธที่จะเข้ารับราชการทหาร เป็นการกระทำเพื่อต่อต้านทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงแรงจูงใจส่วนส่วนตัวที่มีความซับซ้อนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง”[53]

ฮิวแมนไรท์วอทช์พบว่า คนที่หนีทหารและคนที่แปรพักตร์จากเมียนมา อาจต้องเผชิญกับการกระทำที่มีลักษณะรุนแรงเช่นนี้ โดยอาจถึงขั้นเป็นการประหัตประหาร อย่างไรก็ดี ทางการไทยยังคงจับกุมคนที่มาจากเมียนมาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งคนที่หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร หรือคนที่หนีทหารด้วยเหตุผลด้านมโนธรรมสำนึก และมีการส่งตัวเขากลับไปเมียนมา[54]

แนวทางการขอรับเอกสารด้านสถานะ

พลเมืองชาวเมียนมาส่วนใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์เดินทางมาถึงประเทศไทย โดยไม่มีเอกสารใด ๆ หลายคนได้รับวีซ่าเพื่อพำนักอาศัยเป็นเวลาเจ็ดวัน หลังการข้ามพรมแดนแบบปรกติในจังหวัดตาก ตอนเหนือของประเทศไทย แต่เอกสารนี้จะหมดอายุโดยเร็ว ทุกคนบอกว่า พวกเขาประสงค์และพยายามที่จะเข้าถึงสถานะด้านกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้สามารถพำนักอาศัยได้อย่างปรกติในประเทศ

เนื่องจากไม่มีช่องทางเป็นการเฉพาะสำหรับพลเมืองชาวเมียนมาที่หลบหนีมาจากเมียนมา พวกเขาจึงใช้ช่องทางเท่าที่มีอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารของประเทศไทย โดยการจ่ายเงินซื้อเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งการซื้อวีซ่าเพื่อการศึกษา บัตรคนไร้รัฐ (บัตรประจำตัวพิเศษที่ออกให้กับบุคคลไร้รัฐ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนหรือชุมชนบนพื้นที่สูง) และส่วนใหญ่แล้วคือการขอรับบัตรแรงงานข้ามชาติ (“บัตรชมพู”) เมื่อมีการประกาศช่วงเวลาผ่อนผัน

ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนซึ่งเคยหรืออยู่ระหว่างการขอรับเอกสาร ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนกลาง รวมทั้งนายหน้า ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่สามารถอธิบายถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการที่ซับซ้อนได้ พวกเขาเพียงรู้แต่ว่าต้องจ่ายเงินเท่าไรในแต่ละช่วง บางคนสามารถระบุชื่อของขั้นตอนต่าง ๆ ได้ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าค่าใช้จ่ายที่พวกเขาจ่ายไป ถูกใช้ไปในขั้นตอนใดบ้าง

เอ จี ผู้หญิงอายุ 24 ปี จากรัฐคะเรนนี ได้เข้าร่วมกับขบวนการอารยะขัดขืนภายหลังการทำรัฐประหาร เธอบอกว่าเธอต้องการเข้าร่วมในการสู้รบโดยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่พ่อแม่ขัดขวางไม่ให้ทำ เธอเดินทางข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยอย่างไม่ปรกติในปี 2565 และเป็นบุคคลไม่มีเอกสาร เอ จีบอกว่าในช่วงปีแรกในประเทศไทย เธอไม่รู้จักใครเลย และไม่ทราบถึงวิธีการที่จะขอรับสถานะบุคคล แต่เธอค่อย ๆ เรียนรู้ถึงวิธีการที่จะขอรับเอกสารต่อไป:

ในช่วงปีแรก ดิฉันไม่มีเอกสารอะไรเลย ดิฉันไม่เชื่อใจใคร และคนที่ดิฉันรู้จักก็ไม่มีข้อมูลว่าจะขอรับเอกสารได้อย่างไร เจ้านายในร้านขายเบอร์เกอร์ที่ดิฉันทำงานอยู่ บอกให้ดิฉันระวังตัวเวลาที่เจอกับตำรวจ ทำให้ดิฉันเฝ้ามองดูตำรวจอยู่ตลอด และต้องคอยดูว่าสถานที่ไหนจะเป็นอันตรายและอาจถูกเรียกตรวจได้ ดิฉันไม่มีเอกสาร ไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีใบขับขี่ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอนถ้าถูกจับ ดิฉันต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ตำรวจเมียนมาต้องจับดิฉันขังคุกแน่นอนถ้าเดินทางกลับไป เพราะดิฉันเป็นส่วนหนึ่งของ CDM [ขบวนการอารยะขัดขืน] สุดท้ายแล้ว ดิฉันพยายามจนสามารถขอรับบัตรชมพูได้ โดยมีญาติคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักนายหน้า และบอกว่าสามารถเชื่อใจบุคคลนี้ได้....ทุกคนที่ดิฉันรู้จักต่างใช้บริการจากนายหน้า เพราะเราไม่สามารถทำการขอ [สถานะบุคคล] ได้ด้วยตัวเอง[55]

การคุกคาม การจับกุม และการคุมขังพลเมืองชาวเมียนมา

ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนบอกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยคุกคามพวกเขา บางคนบอกว่าเคยถูกจับและควบคุมตัว ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งถูกเนรเทศ การสอบสวนของฮิวแมนไรท์วอทช์พบว่า เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นทั่วไปในอำเภอแม่สอด ซึ่งมีประชากรมากกว่า 50,000 คนในจังหวัดตาก ภาคเหนือของประเทศไทย และตั้งอยู่ติดกับพรมแดนประเทศเมียนมา ผู้ให้สัมภาษณ์ที่นั่นบรรยายถึงสภาพของการสอดแนมที่สุดโต่งของตำรวจ และบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก ดังที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นคนหนึ่งบอกว่า “ตำรวจเฝ้าแต่มองหาคนที่เป็นเหยื่อในอำเภอแม่สอด....พวกเขาพยายามที่จะหาใครบางคนที่ไม่มีเอกสาร เพื่อทำการรีดไถ”[56]

อำเภอแม่สอดเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของการค้า แรงงานข้ามชาติ และขบวนการผู้ลี้ภัยมาเป็นเวลานาน โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาเชื่อมกลับไปฝั่งเมียนมาที่เมืองเมียวดี ประชากรพลเมืองชาวเมียนมาในอำเภอแม่สอดเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก นับแต่การทำรัฐประหาร[57]

ดังที่ตั้งข้อสังเกตข้างต้น ผู้เข้าเมืองไม่ปรกติในประเทศไทยเสี่ยงที่จะถูกจับกุม และกฎหมายไทยไม่อนุญาตให้มีการคุ้มครองและการรับรองสถานะของผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา หากพวกเขาออกมาอยู่นอกค่ายพักพิงในระยะยาว และถูกมองว่าเป็นแรงงานข้ามชาติ[58] สถานการณ์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการทุจริต การแสวงหาประโยชน์ และการรีดไถอย่างกว้างขวาง ทำให้ผู้เข้าเมืองและผู้ลี้ภัยจากเมียนมาถูกบีบให้ต้องซื้อความคุ้มครองรูปแบบใดก็ตามเท่าที่จะทำได้

พลเมืองชาวเมียนมาหลายหมื่นหรืออาจจะหลายแสนคน ยังคงต้องจ่ายสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม การคุมขัง และการถูกเนรเทศ โดยไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างจริงจังที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นระบบ และยั่งยืน[59] พลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมากได้กลายเป็นผู้ลี้ภัยโดยปริยาย ต้องหลบหนีจากการประหัตประหาร ความขัดแย้ง การเกณฑ์ทหารที่ละเมิดสิทธิ และสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้าย รูปแบบของการแสวงหาประโยชน์และการปฏิบัติชอบที่ทับซ้อนกันเหล่านี้ ทำให้สถานะของพวกเขาเปราะบางมากขึ้น

ขิ่น หม่อง นักข่าวอายุ 30 ปี จากย่างกุ้ง ซึ่งหนีไปอำเภอแม่สอดในเดือนกรกฎาคม 2566 บอกฮิวแมนไรท์วอทช์เกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีต่อตำรวจไทย เขาบอกว่า เคยหลบหนีมาที่อำเภอแม่สอดครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 แต่ต้องกลับไปเมียนมาเพื่อทำรายงานข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งที่นั่น เขาถูกจับที่จุดตรวจของรัฐบาลทหาร ที่เมืองพะอัน ในรัฐกะเหรี่ยง โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าจะส่งข้อมูลของเขาให้กับสถานีตำรวจที่บ้านเกิดของเขาในย่างกุ้ง เพื่อใส่ชื่อเขาในบัญชี “ผู้ถูกจับตามอง” ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่สภาบริหารแห่งรัฐ ขิ่น หม่องจึงตัดสินใจหลบหนีอีกครั้ง และมาอาศัยอยู่ในอำเภอแม่สอดเป็นเวลาแปดเดือน โดยในช่วงสามเดือนแรกไม่มีเอกสาร และเคยถูกตำรวจเรียกตรวจหกครั้ง ทำให้ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัว เขาบอกว่า:

ภัยคุกคามสำคัญ [ในอำเภอแม่สอด] คือตำรวจ ผมกลัวพวกเขา…ผมเคยถูก [ตำรวจ] เรียกให้หยุดตรวจหกครั้ง มีอยู่สามครั้งที่ผมต้องจ่ายเงินให้ตำรวจ พวกเขาถึงจะปล่อยตัวมา ครั้งแรก พวกเขาขอเงิน 3,000 บาท ครั้งที่สอง พวกเขาขอเงิน 9,000 บาท และครั้งที่สาม พวกเขาขอเงิน 18,000 บาท[60]

สุดท้าย ขิ่น หม่องจึงต้องยอม “ซื้อ” บัตร “ชมพู” สำหรับผู้เข้าเมือง และปัจจุบันอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

ในประเทศไทย เป็นเรื่องผิดกฎหมายที่จะนำผู้โดยสารที่ไม่มีเอกสารเดินทางไปด้วย โดยอาจเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ แม้ว่าจะไม่มีเจตนาที่จะแสวงหาประโยชน์ แต่การนำบุคคลที่ไม่มีเอกสารเดินทางไปด้วย อาจถูกมองว่าเป็นการช่วยเหลือบุคคลให้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง[61] ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนรวมทั้งขิ่น หม่องบอกว่า พวกเขาถูกตำรวจเรียกตรวจ และขู่ว่าจะดำเนินคดีข้อหาค้ามนุษย์

มยินต์ ฉ่วย ผู้สื่อข่าวอายุ 34 ปี จากเมืองมยิจีนาในรัฐคะฉิ่น มีบทบาทสำคัญในขบวนการอารยะขัดขืนช่วงหลังการทำรัฐประหาร เขาได้ข่าวมาว่าหน่วยงานของรัฐบาลทหารต้องการตัวคนที่ร่วมขบวนการกับเขา เขาจึงตัดสินใจหลบหนีพร้อมกับภรรยามาที่ประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2565

ผมถูกจับที่อำเภอแม่สอดสามครั้ง. …ผมตกใจมาก ตอนอยู่ในเมียนมา ผมเข้าร่วม [การประท้วง] หลายครั้ง แต่ไม่เคยถูกจับ แต่ที่แม่สอด ผมถูกจับ ตำรวจบอกว่า พวกเขาสามารถดำเนินคดีกับผมในข้อหาค้ามนุษย์ได้.... ในเดือนธันวาคม 2565 ผมอยู่กับเพื่อนซึ่งเป็นนักกฎหมายและเป็นคนที่ผิดกฎหมาย [ไม่มีเอกสาร] ....ผมขับรถกลับบ้านพร้อมกับเขา และถูกจับ ตอนนั้นเป็นเวลา 23.30 น. ตำรวจเรียกให้เราหยุด และพาตัวไปที่โรงพักในอำเภอแม่สอด ผมบอกว่ากรุณาอย่าทำเรื่องที่ผิดกฎหมายกับเรา พวกเขา [ตำรวจไทย] บอกผ่านล่ามว่า พวกเขาอาจดำเนินคดีกับผมในข้อหาค้ามนุษย์ ผมต้องอยู่ในห้องขังเป็นเวลาสี่ชั่วโมง พวกเขาบังคับให้เพื่อนที่เป็นคนผิดกฎหมายออกไปหาเงินมาให้ เราต้องจ่ายเงินจำนวน 15,000 บาท ให้กับตำรวจ และจ่ายอีก 2,000 บาทให้กับล่ามซึ่งเป็นคนพม่า

ตำรวจจับ มยินต์ ฉ่วย อีกครั้ง คราวนี้เป็นการจับเขาพร้อมกับภรรยา และนำตัวไปที่โรงพักในอำเภอแม่สอด พวกเขาบอกว่ารถมอเตอร์ไซค์ของเขาไม่มีป้ายทะเบียน และต้องจ่ายเงินให้ตำรวจเพราะเรื่องนี้ “ผมบอกพวกเขาว่า พวกคุณไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เป็นตำรวจจราจร พวกเขาบอกว่า พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ”[62] มยินต์ ฉ่วย จ่ายเงิน 500 บาท และได้รับการปล่อยตัว ในเหตุการณ์สุดท้าย มยินต์ ฉ่วย บอกว่าตำรวจตามไล่ตัวเขาบนถนนในอำเภอแม่สอด ตอนที่เขาขับรถตามลำพัง:

พวกเขา [ตำรวจไทย] ซุ่มอยู่ที่มุมถนน ตอนที่ผมขับรถผ่านมุมถนนไป พวกเขาก็เฝ้าติดตาม ผมเอาหนังสือเดินทางให้ดู แต่พวกเขาพาผมไปที่โรงพัก บังคับให้ลงชื่อในจดหมายที่เขียนเป็นภาษาไทย ผมไม่รู้ว่าจดหมายเขียนว่าอย่างไร แต่พวกเขาก็บังคับให้ผมลงชื่อ ผมพยายามใช้โทรศัพท์เพื่อแปลจดหมาย แต่พวกเขาก็ห้ามไม่ให้ทำ และยังตรวจดูที่เก็บภาพในโทรศัพท์มือถือของผม และลบรูปที่ผมถ่ายออกไป ผมรู้สึกเจ็บปวดใจมากหลังจากต้องเจอกับตำรวจสามครั้ง[63]

ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ มยินต์ ฉ่วย จึงย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากสามารถซื้อวีซ่าเพื่อการศึกษาได้ เขาอธิบายว่า หนังสือเดินทางเมียนมาของเขากำลังจะหมดอายุ และเขาต้องเดินทางกลับไปเมียนมาเพื่อขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่ แต่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในเดือนกันยายน 2567 รัฐบาลทหารประกาศว่า พลเมืองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยใช้วีซ่าเพื่อการศึกษาระยะสั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับอนุญาตให้ต่ออายุหนังสือเดินทางที่สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาที่กรุงเทพฯ หรือที่สถานกงสุลในจังหวัดเชียงใหม่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว และต้องเดินทางกลับไปทำที่เมียนมา มยินต์ ฉ่วยบอกว่า เขาอาจถูกบีบให้ต้องหาทางซื้อบัตรแรงงานข้ามชาติ เพราะเป็นทางออกเดียว (เนื่องจากไม่มีหนังสือเดินทางที่ถูกต้อง) เพื่อจะขอเอกสารและความคุ้มครองระหว่างที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หลายปีนับแต่การทำรัฐประหาร พลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ จำนวนมากขึ้นต้องเผชิญกับปัญหาหนังสือเดินทางหมดอายุ

ผู้ให้สัมภาษณ์อีกหลายคนมีประสบการณ์แบบเดียวกันกับตำรวจไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สอด ตัวแทนภาคประชาสังคมคนหนึ่งบอกว่า ตำรวจในอำเภอแม่สอดมักไปอยู่ในถนนสายหลักและตามแยกต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่พลเมืองชาวเมียนมามักเดินทางไป รวมทั้งเส้นทางหลวงที่จะไปคลินิกแม่ตาว สถานบริการด้านสุขภาพที่ให้บริการกับผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมืองชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสารในพื้นที่ “ตำรวจจะไปตั้งจุดตรวจทุกวัน ตรงเส้นทางหลวงที่จะไปคลินิกแม่ตาว ทุกเย็น ผมจะเห็นพวกเขาที่นั่น”[64]

ไม่นานหลังการทำรัฐประหาร เต๊ต นาย ชายอายุ 29 ปีจากเมืองอินเส่ง ใกล้กับย่างกุ้ง เข้าร่วมในการประท้วง จนเป็นเหตุให้ต้องหลบหนีไปที่เมืองเล เค ก่อในรัฐกะเหรี่ยง จนถึงสิ้นปี 2564 เขาหลบหนีไปอำเภอแม่สอดเพราะเกิดการสู้รบในเมืองเล เค ก่อ เนื่องจากเขาเข้าเมืองอย่างไม่ปรกติและไม่มีเอกสาร เขาจึงไม่ค่อยเดินทางไปไหนในอำเภอแม่สอด จนกระทั่งปี 2567 เขาสามารถซื้อบัตร “ชมพู” ได้ในช่วงที่มีการผ่อนผัน ในเดือนพฤษภาคม 2567 เขาอยู่ในช่วงที่กำลังจะได้บัตรชมพู แต่ตำรวจได้เรียกให้เขาหยุดตรวจ:

ผมได้รับเอกสารที่ยืนยันว่ามีชื่อของผมในบัญชีของคนเมียนมา [เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการขอบัตรชมพู] ตอนนั้นผมทำงานที่ร้านน้ำชา และกำลังไปส่งชาที่คลินิกแม่ตาว ตอนที่ออกจากร้าน ตำรวจจราจรเรียกให้หยุด ผมไม่มีใบขับขี่ [เพราะผมไม่มีเอกสาร] และตำรวจขอเงินผม 500 บาทตำรวจเกือบจะลบชื่อของผมออกจากบัญชี....ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ลำบากมาก ถ้าตำรวจเอาชื่อผมออกจากบัญชี ผมถูกเรียกตรวจอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2567.…ตอนนั้นเป็นตำรวจไทยทั่วไป พวกเขาพาผมและเพื่อนร่วมงานไปที่โรงพัก และเราต้องจ่ายเงิน 1,000 บาทเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัว ในตอนนั้น เราต้องเจรจาอยู่ตั้งนาน ผมไม่สามารถโทรหานายหน้าได้เพราะโทรศัพท์เสีย และตำรวจที่โรงพักเอาแต่พูดว่า “ทำไมพวกคุณไม่โทรหานายหน้าตอนที่พวกเราจับตัวคุณ?” พวกเขาโกรธเรา และขู่จะเนรเทศพวกเรากลับไปเมียนมา[65]

สุดท้ายแล้ว เต๊ต นายได้รับบัตรแรงงานข้ามชาติ “ถึงเราจะอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่รู้สึกปลอดภัย เราเป็นคนพม่า และเราจะต้องเป็นเบี้ยล่างของเขาตลอดไป”[66]

บัตรตำรวจในอำเภอแม่สอด

ผู้ให้สัมภาษณ์บอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ว่า วิธีการทั่วไปที่จะหลีกเลี่ยงการจับกุมและคุมขังในอำเภอแม่สอด คือการซื้อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น “บัตรตำรวจ” โดยต้องจ่าย “ค่าสมัคร” เป็นเงินประมาณ 300 บาทต่อเดือน โดยการจ่ายค่าสมัครอาจไม่ได้ทำให้ได้รับบัตร แต่เราจะได้รับเบอร์โทรศัพท์ของนายหน้า และเราสามารถโทรศัพท์หาได้เมื่อถูกจับกุม จากนั้นนายหน้าจะยืนยันกับตำรวจว่าคนที่ถูกจับ ได้จ่ายค่าสมัครแล้ว และควรได้รับการปล่อยตัว ระบบบัตรตำรวจไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอย่างเป็นทางการ หรือแนวทางความคุ้มครองอย่างเป็นทางการที่มีอยู่ แต่เป็นเหมือนธรรมเนียมการปฏิบัติทั่วไป เป็นการทุจริตในรูปแบบหนึ่งที่สร้างผลกำไรอย่างมากในรูปของ “เงินใต้โต๊ะ” ที่นายหน้าและตำรวจจะได้รับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานมนุษยธรรมคนหนึ่งในจังหวัดตากบอกว่า มีรูปแบบของบัตรตำรวจที่หลากหลายในอำเภอแม่สอดในพื้นที่ชนบททางภาคตะวันตกและภาคเหนือของประเทศไทย โดยพลเมืองชาวเมียนมาจะจ่ายค่าสมัครให้กับผู้นำหมู่บ้าน ซึ่งจะประสานงานกับตำรวจในพื้นที่ ในขณะที่คนที่อยู่ในเมืองจะจ่ายเงินให้กับนายหน้าโดยตรงเป็นจำนวน 300 บาทต่อเดือน โดยเป็นเงินใต้โต๊ะ เจ้าหน้าที่คนนี้บอกว่า ชาวบ้านในชนบทจะจ่ายผ่านผู้ใหญ่บ้านเป็นเงินจำนวน 400 บาท

ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ซึ่งเคยใช้ชีวิตในอำเภอแม่สอด และได้รับบัตรตำรวจ จะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองโดยมีความหวาดกลัวน้อยลงที่จะถูกจับกุมและคุมขัง ชายหนุ่มซึ่งหลบหนีมาจากการบังคับเกณฑ์ทหาร และอาศัยอยู่ในเซฟเฮาส์บอกว่า ชาวบ้านในพื้นที่ได้จัดให้เขามีบัตรตำรวจ และพอมีบัตรตำรวจแล้ว พวกเขารู้สึกว่าสามารถเดินทางออกจากบ้านไปทำงานเป็นแรงงานรับจ้างรายวันได้ แม้จะต้องจำกัดการเดินทางอยู่บ้าง ขิ่น หม่อง ชายอายุ 28 ปี จากภาคอิรวดีบอกว่า “เนื่องจากพวกเราไม่มีเอกสาร และมีแต่บัตรตำรวจ ผมจึงไม่ออกไปข้างนอก เว้นแต่จะมีธุระสำคัญมากเท่านั้น”[67]

ในสถานการณ์อื่น ๆ ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่า พวกเขาต้องหาทางขอรับบัตรตำรวจด้วยตนเอง แต่จะจ่ายค่าสมัครรายเดือนเมื่อจำเป็นต้องเดินทางเท่านั้น วิน จี อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ย่างกุ้ง อายุ 39 ปี เข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืนและต่อต้านรัฐบาล ภายหลังการทำรัฐประหาร เธอหลบหนีมาที่อำเภอแม่สอดช่วงฤดูร้อนของปี 2564 “ดิฉันไม่สามารถจ่ายค่าตำรวจ 300 บาทได้ทุกเดือน” เธอกล่าว “เฉพาะตอนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ ดิฉันถึงจะยอมจ่าย”[68]

ในบางสถานการณ์ สมาชิกในครอบครัวคน โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงาน จะขอรับบัตร ส่วนสมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็จะจำกัดการเดินทางและมักอยู่ที่บ้าน ซึ่งเท่ากับเป็นการขังตัวเองในบ้านโดยปริยาย โซ มยินต์ ผู้หญิงอายุ 41 ปี จากรัฐกะเหรี่ยงบอกว่า เธอและบุตรสองคนในวัยเรียนไม่ได้ออกไปนอกบ้านระหว่างอยู่ในประเทศไทย หลังจากหลบหนีไปที่นั่นพร้อมกับสามี ซึ่งตัวสามีจ่ายค่าสมัครเพื่อรับบัตร เพื่อห้สามารถทำงานได้ เธอบอกว่า

ดิฉันเดินทางออกมาเมื่อเดือนมีนาคม 2567 เราได้ยินข่าวว่ากองทัพกำลังจะประกาศใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร ดิฉันกังวลว่าสามีมีอายุที่จะถูกเกณฑ์ทหาร เพราะครอบครัวดิฉันก็มีแต่ตัวสามีกับลูก ๆ ....เรายังคิดถึงอนาคตของลูก ๆ เราไม่สามารถส่งลูกไปโรงเรียน [ในเมียนมา] ได้ เพราะมีปัญหายุ่งยากในการจัดให้พวกเขาเรียนหนังสือในเมียนมา[69]

ในกรณีอื่น ๆ พลเมืองชาวเมียนมาซึ่งไม่สามารถซื้อบัตรตำรวจสำหรับทั้งครอบครัว ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพราะพวกเขาเชื่อว่า จะทำให้มีโอกาสน้อยลงที่ตำรวจจะมาคุมขังลูกของพวกเขาระหว่างไปเรียนหนังสือ ถั่น ถั่น เน และครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่พื้นที่ชนบท นอกอำเภอแม่สอด ใกล้กับศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ

ดิฉันต้องอยู่ในบ้านตลอดเวลา มีแต่สามีที่จะเดินทางไปทำงานก่อสร้าง [ไปทำงาน] เราย้ายมาที่นี่ เพราะต้องการให้ลูกได้เรียนหนังสือ พวกเราไม่มีงานทำที่นี่ ไม่มีเอกสาร เราจึงกลัวว่าจะถูกจับ ตอนที่สามีเดินทางออกไปทำงาน เขา [ซื้อ] บัตรตำรวจ แต่สำหรับตัวดิฉัน ดิฉันไม่มีบัตรอะไรเลย ถ้าออกไปข้างนอก ตำรวจก็จะจับตัวเอาไว้ เพราะดิฉันไม่มีเอกสาร[70]

บัตรตำรวจดูเหมือนจะทำให้เกิดระบบความคุ้มครองชั่วคราวบนพื้นฐานของการทุจริตและความไม่แน่นอน สำหรับผู้ที่อพยพมาใหม่จากเมียนมา และผู้ที่ไม่มีรายได้มากพอที่จะซื้อเอกสารที่แพงและมั่นคงมากกว่า แต่ก็ไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับกลไกหรือกฎหมายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพียงแต่เป็นช่องทางที่ตำรวจไทยจะใช้อำนาจและตำแหน่งของตนเองเพื่อรีดไถเงินจากผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมืองที่น่าสงสารจากเมียนมา

พลเมืองชาวเมียนมาในชนบทของไทย

พลเมืองชาวเมียนมาบางคน ซึ่งหลบหนีไปประเทศไทย ไม่สามารถแม้แต่จะจ่ายค่าบัตรตำรวจที่คิดเป็นเงินไม่มากนัก ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้พบกับหลายครอบครัว ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ชนบทอันห่างไกล นอกอำเภอแม่สอด ทิน ฉ่วย และทุน อ่อง สามีและภรรยาจากรัฐกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่บนที่ดินที่แห้งแล้งในเขตชนบท ไม่มีทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า ทิน ฉ่วยกำลังตั้งครรภ์ได้ 8.5 เดือนในขณะนั้น เธอบอกว่า เธอแค่เดินทางไปที่คลินิกแม่ตาว ซึ่งรับรักษาพลเมืองชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสาร เพื่อไปทำสแกนครั้งแรก (ซึ่งปรกติควรทำในช่วงก่อนตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์) เพราะเธอกลัวว่าจะถูกตำรวจไทยจับระหว่างทาง และเธอเองก็ไม่มีเงินจ่ายค่าสินบน

พลเมืองสัญชาติเมียนมาพักอาศัยในกระท่อมที่ไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าในพื้นที่ชนบทของจังหวัดตาก ประเทศไทย  © 2025 ฮิวแมนไรท์วอทช์

“เมื่อเดือนที่แล้ว ดิฉันไปที่คลินิกไปตามนัดเพื่อตรวจอัลตราซาวด์” เธอกล่าว “เป็นการนัดพบแพทย์ครั้งแรก เพราะดิฉันไม่มีเงินเป็นค่าเดินทาง ดิฉันไม่มีเอกสาร ถ้าต้องไปที่นั่น ก็ต้องเสี่ยงที่จะถูกจับกุม”[71]

ในเดือนพฤษภาคม 2567 The Border Consortium ซึ่งเป็นกลุ่มเอ็นจีโอได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคน ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลตามพรมแดนประเทศไทย-เมียนมา โดยคาดการณ์ว่ามีพลเมืองชาวเมียนมาประมาณ 20,000 คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทตามแนวพรมแดน โดยแทบไม่มีโอกาสที่จะขอรับเอกสาร:

ครัวเรือนส่วนใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์ระบุว่า พวกเขาไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีเอกสารที่อนุญาตให้พำนักอาศัยในประเทศไทย ตามกฎหมายไทย ถือว่าพวกเขาเป็นผู้เข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย....ทำให้หลายครอบครัวต้องไปดำรงชีวิตที่ชายขอบของสังคม การไม่มีเอกสารทำให้ครอบครัวเหล่านี้ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน การจ้างงาน และความคุ้มครองตามกฎหมาย การที่ต้องอยู่ใต้ดิน ทำให้เกิดความเปราะบางมากขึ้น เพราะพวกเขาต้องดำรงชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง[72] 

ชาวมุสลิมโรฮิงญาในประเทศไทย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาวมุสลิมโรฮิงญาถูกบังคับให้ต้องหลบหนีจากบ้านเกิดที่รัฐยะไข่ ภาคตะวันตกของเมียนมา เนื่องจากการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมทั้งการประหัตประหารและการแบ่งแยกกีดกัน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในประเทศไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สอด มีสภาพที่เปราะบางอย่างมาก เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ไร้รัฐ

นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ได้มีกลุ่มชาวโรฮิงญากลุ่มใหม่ซึ่งหลบหนีมาจากทั้งกองทัพอาระกันและกองทัพเมียนมา ส่วนใหญ่จะหนีไปที่บังคลาเทศซึ่งอยู่ใกล้กว่า อย่างไรก็ดี พวกเขาบางส่วนได้เดินทางด้วยเส้นทางบกข้ามประเทศไทย เพื่อที่จะไปให้ถึงประเทศมาเลเซียและประเทศอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะมีการเคารพสิทธิของพวกเขา ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้พูดคุยกับครอบครัวชาวโรฮิงญาสองครอบครัว และเด็กที่เดินทางโดยลำพังอีกหนึ่งคน ซึ่งเดินทางในเส้นทางที่ยาวไกลและยากลำบากจากรัฐยะไข่ไปอำเภอแม่สอด เป็นการเดินทางโดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ลักลอบนำคนเข้าเมืองและผู้ค้ามนุษย์ ซึ่งจะเดินทางพร้อมกับพวกเขาเกือบตลอดเส้นทาง และจะเป็นผู้รีดไถเงินตามจุดต่าง ๆ ทุบตีและละเมิดพวกเขา สุดท้ายแล้ว ชาวโรฮิงญาก็เดินทางมาถึงอำเภอแม่สอด และพบว่ามีความมั่นคงปลอดภัยพอสมควร ระหว่างอยู่ในชุมชนชาวมุสลิมเมียนมาที่อาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนแล้ว

ฮามิดาและคาริม คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวพร้อมกับบุตรที่คลอดระหว่างการเดินทาง พวกเขาอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ในคลังเก็บสินค้า และเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างจำกัด เนื่องจากพวกเขาถูกรีดไถเงินที่เมียวดีในเมียนมาเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้พวกเขาไม่มีเงินเหลืออยู่เลยเมื่อเดินทางมาถึงอำเภอแม่สอด พวกเขายังไม่มีเอกสารระหว่างอยู่ในประเทศไทย และเช่นเดียวกับชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่ในเมียนมา พวกเขาเป็นบุคคลไร้รัฐ ไม่มีบัตรประจำตัว ไม่มีช่องทางที่จะได้รับบัตรประจำตัวที่นั่น รายงานเดือนมีนาคม 2567 ของ Mixed Migration Centre พบว่า ร้อยละ 97 ของชาวโรฮิงญาที่ให้สัมภาษณ์ในประเทศไทย เป็นผู้ไม่มีเอกสาร เมื่อเทียบกับร้อยละ 55 ของคนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่มาจากเมียนมา[73] คู่สามีภรรยาบอกว่า พวกเขาต้องป่วยเป็นโรคหิดเพราะสภาพที่อยู่ที่ขาดสุขอนามัย ส่วนลูกที่อายุไม่กี่เดือนก็มีอาการที่น่าจะเป็นโรคหิดแล้ว คาริมบอกว่า

พวกเราไม่มีเอกสารหรือใบอนุญาตอะไรเลยในตอนนี้ เราไม่สามารถทำงานได้ และเรากลัวว่าจะถูกจับที่นี่ [ในอำเภอแม่สอด] เราได้ยินข่าวว่าสามารถที่จะขอรับเอกสารได้ในเดือนธันวาคม [ระหว่างมีการผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติทำบัตรได้] และอาจต้องจ่ายเงินราว 8,000-10,000 บาท แต่มีคนบอกว่าในตอนนี้อาจจะต้องจ่าย 20,000 บาทต่อคน และเราไม่มีเงินที่จะจ่าย....ทำให้เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีบัตรประจำตัว ไม่มีอะไรเลย![74]

การซื้อ” บัตรแรงงานข้ามชาติ

"บัตรชมพู" มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ช่วยให้มีสิทธิพำนักอาศัยและการทำงานในประเทศไทย และยังเป็นบัตรประจำตัวสำหรับคนต่างด้าว รวมทั้งแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม รัฐบาลไทยจะประกาศช่วงเวลาที่ผ่อนผันให้ทำบัตรได้ ทั้งสำหรับแรงงานข้ามชาติที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ในเดือนกันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีไทยให้ความเห็นชอบประกาศช่วงเวลาผ่อนผัน ซึ่งมีการขยายไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568[75]

ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่บอกว่า พวกเขาอยู่ในช่วงที่กำลังต่อบัตรชมพู หรือบางคนก็กำลังขอบัตรเป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นกระบวนการที่สนับสนุนการจ้างงาน จึงมีข้อกำหนดให้นายจ้างต้องเป็นผู้รับรอง ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนใช้บริการจากนายหน้าสำหรับขั้นตอนเหล่านี้ และในทุกกรณีพวกเขาต้องใส่ชื่อนายจ้าง “ปลอม” กล่าวคือพวกเขาไม่ได้ทำงานกับนายจ้างที่มีชื่อในบัตรชมพู เจ้าหน้าที่ยูเอ็นสรุปสถานการณ์ดังนี้

ถ้าคุณเป็น [พลเมืองชาวเมียนมา] ที่ต้องการความคุ้มครอง คุณต้องขอรับบัตรชมพู ซึ่งอาจจะต้องจ่ายเงินประมาณ 10,000 บาท เป็นวิธีการเดียวที่จะป้องกันตัวเองจากการถูกเนรเทศ แต่มันก็คือการจ่ายสินบน พวกเขาถูกบีบให้ต้องซื้อบัตรชมพู เพื่อไม่ให้ถูกจับ[76]

ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศยอมรับว่าเป็นระบบที่ยังไม่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยการแสวงหาประโยชน์ แต่ก็บอกว่าเป็นรูปแบบความคุ้มครองที่ดีสุดเท่าที่จะคาดหวังได้ในตอนนี้

พวกเขาต้องถูกรีดไถเพื่อให้ได้รับบัตรมา แต่การถูกรีดไถก็ยังดีกว่าการที่ไม่มีบัตรอะไรเลย การมีบัตรเป็นทางเลือกที่ดีสุดตอนนี้ และการ “ยืม” นายจ้างเป็นแนวทางที่ดีสุดเช่นกัน[77]

ค่าธรรมเนียมอย่างเป็นทางการในการขอบัตรชมพูอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาท แต่ผู้ให้สัมภาษณ์ต้องจ่ายเงินอาจจะมากถึง 30,000 บาทให้กับนายหน้าเพื่อให้สามารถต่ออายุ หรือเพื่อเริ่มกระบวนการขอบัตรใหม่ตั้งแต่ต้น ตอนที่เอ จีมาพบกับฮิวแมนไรท์วอทช์ เธออยู่ในช่วงที่กำลังต่ออายุใบอนุญาตทำงาน:

ประเทศไทยมีเสรีภาพมาก และดิฉันชอบที่จะอยู่ที่นี่ แต่การต่ออายุต้องใช้เงินมาก พอเก็บ [เงินได้จำนวนหนึ่ง] ก็ถึงเวลาที่ต้องเอาออกมาจ่าย เพื่อต่ออายุบัตรพอดี....ดิฉันต้องคอยสอบถามนายหน้าเกี่ยวกับข้อมูลล่าสุดของการต่ออายุบัตร....แต่ถ้านายหน้าไม่ได้ตอบกลับมา....ดิฉันก็คงไม่ได้ [ต่ออายุบัตร] ถ้าต้องไปทำเอง ดิฉันต้องพึ่งพานายหน้า[78]

เอกสารของเอ จีหมดอายุลงหนึ่งวันหลังจากให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์ และเธอกำลังจะกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีเอกสารอีกครั้ง สำนักงานออกหนังสือสำคัญประจำตัวของเมียนมาในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการนี้ ก็ปิดตัวลงเช่นกัน “ดิฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอกล่าว “พรุ่งนี้คงต้องระวังตัว เพราะตำรวจอาจเรียกให้หยุดและจับกุมตัวก็ได้” เธอยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างเมียนมากับประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะด้านกฎหมายและความมั่นคงปลอดภัยส่วนบุคคลของเธอ ในเดือนกรกฎาคม 2567 สำนักงานหนังสือสำคัญประจำตัวหลายแห่งในประเทศไทย ก็ปิดตัวลงเช่นกัน คาดว่าเป็นเพราะการร้องขอจากรัฐบาลทหารเมียนมา[79]

เครือข่ายเพื่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาได้ย้ำถึงปัญหาหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการขอรับบัตรชมพู ในรายงานเดือนพฤษภาคม 2567 ดังนี้:

เนื่องจากไม่มีแนวปฏิบัติการขึ้นทะเบียนแรงงานที่ชัดเจน และเนื่องจากช่วงเวลาการขึ้นทะเบียนที่สั้นมาก บางกลุ่มจึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ทันเวลา ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมเหตุผล เพราะจำนวนของ [ผู้สมัคร] [น้อยมาก] ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องอยู่อย่างผิดกฎหมาย และเสี่ยงที่จะถูกจับเนื่องจากไม่มีสถานะด้านกฎหมาย ทั้งไม่มีกลไกร้องเรียนในกรณีที่มีการเรียกเก็บเงินมากเกินจริง หรือมีการแสวงหาประโยชน์จากนายหน้า และบริษัทจัดหางาน รวมทั้งกรณีที่มีการหักค่าจ้างในอัตราที่สูงเกินจริง[80]

หน่วยงานภาคประชาสังคมได้วิจารณ์กระบวนการนี้ ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการตรวจสอบจากทางการเมียนมา ก่อนที่จะขอรับหนังสือสำคัญประจำตัวสำหรับผู้ที่ไม่มีหนังสือเดินทางเมียนมาที่ถูกต้อง บางกลุ่มเสนอให้ตัดข้อกำหนดของการตรวจสอบโดยทางการเมียนมา ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่อันตรายสำหรับผู้ที่ทางการต้องการตัวเนื่องจากเข้าร่วมการต่อต้านรัฐบาล หรือหนีมาจากการเกณฑ์ทหาร[81]

แม้ว่าบัตรชมพูจะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ ช่วยให้แรงงานข้ามชาติสามารถอาศัยอยู่อย่างปกรกติ และอาจขอรับเอกสารเพิ่มเติมได้ แต่เนื่องจากเป็นกลไกคุ้มครองเดียวที่มีอยู่สำหรับพลเมืองชาวเมียนมา จึงเป็นเรื่องที่อันตรายและเกี่ยวข้องกับการแสวงหาประโยชน์ คนที่ประสงค์จะอยู่ในประเทศไทย เพื่ออยู่อาศัยและทำงานโดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อการจับกุม การคุมขัง หรือการถูกเนรเทศ ถูกบีบให้ต้องเข้าสู่ระบบการแสวงหาประโยชน์ เพราะเป็นแนวทางเดียวที่จะได้รับสถานะด้านกฎหมาย และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและการศึกษา

การถูกเนรเทศ

การถูกเนรเทศของพลเมืองชาวเมียนมาจากประเทศไทย และการผลักดันกลับที่พรมแดน มักเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอนับแต่การทำรัฐประหารเมื่อปี 2564[82] ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 ทางการไทยได้บังคับส่งกลับพลเมืองชาวเมียนมาประมาณ 9,000 คนกลับไปเมียนมา โดยไม่ได้อธิบายขั้นตอนตามกฎหมาย[83]

รัฐบาลไทยมีพันธกรณีต้องเคารพหลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการไม่ส่งกลับ ซึ่งห้ามไม่ให้ประเทศส่งบุคคลไปยังสถานที่ใด ๆ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่าจะต้องเผชิญกับการประหัตประหาร, การทรมาน, หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างร้ายแรงอื่นใด การส่งกลับเป็นข้อห้ามตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี รวมทั้งเป็นข้อห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ทั้งยังถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566[84]

ทางการไทยมักใช้กำลังบุกตรวจค้นและเนรเทศพลเมืองชาวเมียนมา โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานตามกฎหมาย ในเดือนสิงหาคม 2567 กระทรวงแรงงานของประเทศไทยประกาศว่า ได้ควบคุมตัวและเนรเทศพลเมืองชาวเมียนมากว่า 144,000 คน ในช่วงเวลาสามเดือน “ในการปราบปรามที่มีเป้าหมายเพื่อกำจัดผู้ที่เข้ามาแสวงหาช่องทางทำงาน”[85]

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ไทยที่จังหวัดระนอง ภาคใต้ของประเทศไทย ติดกับชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้เนรเทศพลเมืองชาวเมียนมาประมาณ 200 คนกลับไปให้ทางการเมียนมาในจังหวัดเกาะสอง ฝั่งตรงข้ามกับพรมแดน มีรายงานว่า กลุ่มผู้ชายทั้งหมดที่ถูกเนรเทศได้ถูกส่งตัวไปเป็นทหารเกณฑ์ในกองทัพเมียนมาทันที[86] ในเดือนมีนาคม 2568 ทางการไทยยังได้ส่งตัวพลเมืองชาวเมียนมาอีก 250 คนให้กับเจ้าหน้าที่สภาบริหารแห่งรัฐ ในจังหวัดเกาะสอง ตามแถลงการณ์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง[87] The Irrawaddy สำนักข่าวอิสระในประเทศไทยเขียนข้อมูลเชื่อมโยงการเนรเทศรายเดือนของเจ้าหน้าที่ตม.ของไทยในจังหวัดระนอง กับนโยบายการเกณฑ์ทหารของรัฐบาลทหารเมียนมา และกล่าวหาว่ามีความเห็นร่วมกันระหว่างทางการทั้งสองฝ่าย

รัฐบาลทหารกำลังใช้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง เป็นสำนักงานเพื่อคัดเลือกบุคคล เพื่อบังคับให้ผู้ต้องกักหลายร้อยคนต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ ท่ามกลางกระแสต่อต้านการเกณฑ์ทหารที่บ้าน การสอบสวนของเราเผยให้เห็นว่า ทางการไทยที่จังหวัดระนองมีส่วนช่วยเหลือในทางอ้อมต่อความพยายามในการเกณฑ์ทหาร ซึ่งอยู่หลังฉากของการปราบปรามแรงงานต่างด้าว โดยมีการส่งตัวพลเมืองชาวเมียนมากว่า 1,556 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทหารในจังหวัดเกาะสอง ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2567[88]

ผู้ให้สัมภาษณ์มักแสดงอาการหวาดกลัวต่อการถูกเนรเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของความกลัวจากการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ โดยไม่มีเอกสาร และเป็นเหตุผลให้พวกเขาต้องการซื้อความคุ้มครองในรูปแบบใดก็ได้ที่มีอยู่

เย นี ผู้หญิงอายุ 47 ปี บอกว่า เธอหลบหนีมาจากย่างกุ้ง ตอนที่หน่วยงานของรัฐบาลทหารจับกุมเจ้านายของเธอเมื่อเดือนตุลาคม 2565 เธอบอกว่าตอนนั้นทำงานให้กับหน่วยงานซึ่งส่งอาหารให้กับครูในขบวนการอารยะขัดขืน ตอนนั้นเพื่อนร่วมงานเตือนว่าตัวเธอเองอาจจะถูกจับกุม เย นีจึงหลบหนีไปทันที พร้อมกับหลานสาววัย 12 ปีซึ่งอยู่ในการดูแลของเธอ โดยเดินทางไปอำเภอแม่สอด เธอมีญาติอยู่ที่อำเภอแม่สอดอยู่แล้ว ซึ่งให้ความช่วยเหลือเย นีกับหลานสาว ให้สามารถจ่ายค่าสมัครบัตรตำรวจได้ เธอยังต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1,000 บาทต่อเดือนให้กับตำรวจ เพื่อให้สามารถเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวได้ ถึงอย่างนั้น ตำรวจไทยในอำเภอแม่สอดได้จับกุมเธอเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 และบังคับให้จ่ายเงิน 2,000 บาทเพื่อแลกกับการปล่อยตัว “พวกเขา [ตำรวจไทย] บอกว่า ถ้าดิฉันไม่ยอมจ่าย พวกเขาจะควบคุมตัวและส่งไปขังในคุก” เธอกล่าว

ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยจับกุมเธอและควบคุมตัวพร้อมกับหลานสาวที่สถานกักตัวคนต่างด้าวในอำเภอแม่สอด:

ตอนนั้นเรากำลังเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว [แถวที่พักอาศัย] เป็นไปได้ว่าเพื่อนบ้านอาจไปแจ้ง [กับเจ้าหน้าที่].… ในวันนั้น มีเจ้าหน้าที่ตม.ในชุดเครื่องแบบสามคน พร้อมกับเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีกสองคน พวกเขาบอกว่าพวกเขามาจากกรุงเทพฯ และได้ขอดูเอกสารของดิฉัน แต่ดิฉันไม่มีใบอนุญาต [เพื่อเปิดร้าน] พวกเขาจึงบอกว่า สิ่งที่ดิฉันทำ [กับร้าน] ไม่ถูกกฎหมาย ตอนนั้นดิฉันกับหลานสาวอยู่ที่บ้าน และพวกเขาจับตัวเราไปทั้งสองคน

เธอบอกว่า เจ้าหน้าที่ตม.พบว่าพวกเธอไม่มีเอกสาร “พวกเขาจึงบอกว่า เราจะถูกควบคุมตัวไว้ และจะถูกเนรเทศกลับไปเมียนมา ตอนที่ดิฉันมีบัตรตำรวจ นายหน้าบอกว่าบัตรนี้จะช่วยคุ้มครองพวกเราจากเจ้าหน้าที่ตม.”[89]

เย นีถูกควบคุมตัวพร้อมกับหลานสาวเป็นเวลาเก้าวัน ต้องสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับวันที่ถูกจับกุมตัว “เราไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่น” เธอกล่าว หลานสาวก็เอาแต่ร้องไห้สามวันติดต่อกัน

หลังผ่านไปเก้าวัน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้ส่งตัวพวกเธอกลับไปเมียนมา เย นี บอกว่า ผู้ต้องกักคนอื่นได้เตือนเธอแล้วว่า ทางการเมียนมาจะขอตรวจโทรศัพท์ของเธอตรงที่ด่านตรวจอีกฝั่งหนึ่ง เธอจึงซ่อนโทรศัพท์ไว้ในผ้าห่มที่ญาติอีกคนนำมาให้เธอที่สถานกักตัวคนต่างด้าว

เมื่อกลับไปอยู่ในเมียนมาแล้ว เธอบอกว่า เธอได้พบกับเจ้าหน้าที่หลายคนจากกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และสภาบริหารแห่งรัฐ ซึ่งบอกว่า เธอจะถูกนำตัวส่งขึ้นรถบัสไปย่างกุ้ง เย นี บอกว่า มันเสี่ยงอันตรายมากที่จะเดินทางผ่านจุดตรวจหลักของสภาบริหารแห่งรัฐ เพื่อกลับไปย่างกุ้ง เธอจึงยอมจ่ายเงิน 130,000 จ๊าด ให้กับคนขับรถบัส และตกลงกันว่าตอนที่รถหยุดเพื่อกินข้าวก่อนถึงด่านตรวจ เธอและหลานสาวจะไม่มาขึ้นรถบัสอีก เย นีได้วางแผนกับญาติในอำเภอแม่สอด ซึ่งจัดหารถมารับเธอกับหลาน และขับกลับมาที่อำเภอแม่สอด เธอบอกว่า เธอยังคงพยายามที่จะขอรับเอกสารระหว่างอยู่ในอำเภอแม่สอด:

ในตอนนี้ เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายเพื่อซื้อบัตรชมพู ดิฉันไม่มีเงินแบบนั้น แต่....ตำรวจก็ยังบุกเข้ามาตรวจค้นอีก ลุงของดิฉัน [ซึ่งอาศัยอยู่ในอำเภอแม่สอด] บอกว่า ดิฉันต้องมีเอกสารมากกว่านี้ เขาเลยจ่ายเงินให้ดิฉันไปขอรับบัตรชมพู ผ่านไปหลายเดือนแล้ว เรายังอยู่ในแค่ขั้นตอนแรกของการทำบัตร[90]

การเข้าถึงบริการที่จำเป็น

พลเมืองชาวเมียนมา โดยเฉพาะผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสาร ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายสำคัญในการเข้าถึงบริการที่จำเป็นในประเทศไทย ปัญหาเหล่านี้มีที่มาจากสถานะด้านกฎหมายของพวกเขา การไม่เป็นที่ยอมรับของทางการ และสิทธิที่จำกัดภายใต้กฎหมายไทย

การดูแลสุขภาพ

การมีเอกสารเป็นเรื่องสำคัญเพื่อการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพในประเทศไทย แต่ก็ไปพ้นจากขอบเขตของรายงานนี้ ในการนำเสนอบทวิเคราะห์อย่างเป็นองค์รวมเกี่ยวกับสถานะของการดูแลสุขภาพสำหรับพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศ มาตรา 55 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน”[91] แม้ว่าผู้ให้สัมภาษณ์บางคนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพในยามฉุกเฉินระหว่างอยู่ในประเทศไทยได้ แต่ก็แสดงความกลัวเวลาที่จะต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล เพราะเสี่ยงที่จะถูกจับกุมและคุมขัง และเลือกที่จะแก้ไขอาการเจ็บป่วยด้วยการซื้อยามาจากร้านขายยาของไทย หรือขอความช่วยเหลือจากผู้ทำงานด้านสุขภาพชาวเมียนมาซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนในประเทศไทย Fortify Rights องค์กรพัฒนาเอกชนได้รายงานว่า ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่พยายามหาทางดูแลสุขภาพ เสี่ยงที่จะถูกจับกุมและรีดไถโดยเจ้าหน้าที่ไทยในอำเภอแม่สอด

ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยบอกว่า ความกลัวที่จะถูกจับ การไม่มีเอกสาร การไม่สามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ และอุปสรรคด้านภาษา เป็นเหตุผลที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่จำเป็น โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐและสถานีอนามัย เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคเหล่านี้ ผู้ลี้ภัยในอำเภอแม่สอดมักพึ่งพาความช่วยเหลือจากคลินิกขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย[92]

อ่อง โก ผู้สื่อข่าวอายุ 40 ปี จากย่างกุ้ง ใช้เวลาหนึ่งปีหลังการทำรัฐประหารเพื่อเก็บข้อมูลสถานการณ์ในประเทศ ในช่วงต้นปี 2565 เขาได้ข่าวว่าหน่วยงานของสภาบริหารแห่งรัฐ ได้เริ่มสอบสวนข้อมูลส่วนตัวของเขา เป็นเหตุให้เขาหลบหนีออกจากประเทศ และมาอาศัยอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีในอำเภอแม่สอด โดยมีบัตรตำรวจ แต่ไม่มีเอกสารอื่นใด เขาต้องจำกัดการเดินทางเพราะกลัวว่าจะถูกจับกุมโดยตำรวจไทยในอำเภอแม่สอด

วันหนึ่ง ผมถูกตำรวจสองนายขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมาช้า ๆ แต่ไม่ได้เรียกให้หยุด หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยเพราะกลัวมาก เพราะผมไม่มีเอกสาร ทำให้หวาดกลัว ผมได้ยินข่าวว่ามีการจับกุมคนทุกวัน และได้ยินข่าวว่ามีการส่งบุคคลกลับไปเมียนมา และผมไม่อยากจะเป็นแบบนั้น[93]

สุดท้ายแล้ว อ่อง โกย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ในปี 2566 และขอรับบัตรชมพูของแรงงานข้ามชาติ โดยความช่วยเหลือจากนายหน้า แต่หลังเดินทางไปอยู่ได้ไม่นาน เขาประสบอุบัติเหตุจากการขี่มอเตอร์ไซค์

ผมเกิดอุบัติเหตุระหว่างขี่มอเตอร์ไซค์ จนกระดูกหัวไหล่หัก แต่ตอนนั้นผมไม่มีเอกสารอะไรเลย ผมไปที่โรงพยาบาลเอกชนในตัวเมืองเชียงใหม่ พวกเขาไม่ยอมรักษาผม เพราะผมไม่มีเอกสาร ผมต้องรอถึง 10 วัน ตอนนั้นก็ได้แต่กินยาแก้ปวด เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่โรงพยาบาลไหน ต้องใช้เวลาถึง 10 วันกว่าจะมีโรงพยาบาลที่รับรักษาตัวผม

เขาโทรศัพท์ไปหานายหน้า ซึ่งช่วยให้หาบัตรชมพูให้เขา และนายหน้าเป็นคนที่ช่วยเขาไว้

ผมต้องจ่ายเงิน 5,000 บาทให้เขาทันที ผมไม่รู้หรอกว่าเขาแบ่งเงินให้กับโรงพยาบาลเท่าไร นายหน้าทำตัวเหมือนเป็นผู้ค้ำประกันค่ารักษา เขายังรับประกันกับโรงพยาบาลว่าการบาดเจ็บของผมไม่ได้เกิดขึ้นจากการก่ออาชญากรรม เขาพูดประมาณว่า “ผมรับรองบุคคลนี้ได้”

เขาบอกว่าโรงพยาบาลแจ้งเขาว่า จะต้องใช้เงิน 100,000 บาทเพื่อทำการผ่าตัดผม และเขาต้องเป็นคนค้ำประกันว่าจะมีเงินจ่าย

ผมได้รับเงินทุนก้อนหนึ่งจากเอ็นจีโอ [องค์กรพัฒนาเอกชน] จนทำให้ผมได้ผ่าตัด จากนั้นผมก็กลับไปบ้าน และแผลที่ผ่าตัดก็เริ่มปริออกมา....ผมจึงกลับไปที่โรงพยาบาล เพราะมีการติดเชื้อ ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกมากกว่าสามครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุนอีกแล้ว[94]

อ่อง โก สามารถเจรจาเพื่อขอผ่อนชำระเงินกับโรงพยาบาล โดยเขาต้องจ่ายครึ่งหนึ่งของเงิน 80,000 บาท สำหรับการรักษาอาการติดเชื้อ และต้องจ่ายอีก 5,000 บาทต่อเดือน เขาบอกว่า ไม่มีเพื่อนชาวเมียนมาคนใดมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เพราะเพื่อนของเขาก็ไม่มีเอกสาร และกลัวว่าจะถูกจับในระหว่างเดินทาง

เขาบอกว่า ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพียงลำพังถึง 50 วัน และเขาต้องถูกปฏิบัติอย่างไม่เสมอภาคโดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพราะเขาเป็นพลเมืองสัญชาติชาวเมียนมา “พยาบาลรู้ว่าผมไม่มีเงิน” เขากล่าว “พวกเขาจึงไม่ได้ปฏิบัติกับผมดีมากนัก และไม่มีใครมาเยี่ยมผมเลย ผมยังไม่มีอาหารกินอีกด้วย แม้ตอนที่พวกเขาเริ่มรู้จักผมมากขึ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรกับผมมากนัก ผมไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับบุคคลอื่น” เขากล่าว

ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะมีเอกสารกี่ใบ สุดท้ายแล้ว ผมก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าตกเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังคนต่างชาติ ครั้งหนึ่งพวกเขา [คนไทย] พอรู้ว่าผมเป็นคนพม่า ก็ปฏิบัติกับผมต่างไปจากเดิม[95]

ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตามข้อ 12 รัฐบาลไทยมีพันธกรณีจะต้อง “รับรองสิทธิของทุกคนที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นได้” ข้อ 2 ประกันสิทธิดังกล่าวโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ทั้งด้วยเหตุแห่งความเป็นมาด้านชาติหรือสังคม[96]

สิทธิด้านสุขภาพไม่เพียงครอบคลุมถึงการจัดให้มีบริการดูแลสุขภาพ หากยังรวมถึงความสามารถทั้งทางกายภาพและทางการเงินที่จะเข้าถึงบริการเหล่านี้[97] ผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสาร ผู้ลี้ภัย คนพิการ และคนที่อยู่ในชนบท ต้องไม่เผชิญกับอุปสรรคในการได้รับการดูแลสุขภาพ โดยเป็นผลมาจากการเลือกปฏิบัติหรือข้อจำกัดด้านกฎหมาย

ในพื้นที่แบบอำเภอแม่สอด พลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมากต้องพึ่งพาสถานบริการ อย่างเช่น คลินิกแม่ตาว ซึ่งให้การดูแลสุขภาพโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ที่ไม่มีเอกสาร เป็นบริการที่จำเป็น และคนในพื้นที่หลายพันคนต้องพึ่งพาบริการเหล่านี้ ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนซึ่งอาศัยอยู่ในตำบลแม่ตาวบอกว่า พวกเขาเคยไปใช้บริการที่คลินิกเวลาเจ็บป่วย อย่างไรก็ดี คลินิกแห่งนี้มักจะให้บริการในขั้นมูลฐาน และไม่มีศักยภาพในการรักษาทางการแพทย์ที่ซับซ้อน คลินิกแบบคลินิกแม่ตาวถือเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพลเมืองชาวเมียนมาในพื้นที่จังหวัดตาก แต่ก็จำเป็นต้องมีคลินิกแบบนี้มากขึ้นเพื่อประกันการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และเพื่อไม่ให้เกิดโอกาสที่จะมีการรีดไถเงินจากผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสารและผู้ลี้ภัย

การศึกษา

พลเมืองชาวเมียนมาส่วนใหญ่ซึ่งให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์ ไม่มีครอบครัวและไม่มีลูกที่กำลังเรียนหนังสือ ทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับประเด็นการเข้าถึงด้านการศึกษาได้ อย่างไรก็ดี พ่อแม่และผู้อนุบาลเด็กในวัยเรียน อธิบายว่าความกลัวที่จะถูกจับทำให้พวกเขาตัดสินใจไม่สมัครเข้าเรียนให้กับลูก หรือไม่ส่งลูกไปโรงเรียน ในกรณีหนึ่ง ทั้งครอบครัวตัดสินใจย้ายไปอยู่ในชนบทซึ่งมีศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ และมีความเสี่ยงที่จะถูกตำรวจจับน้อยกว่าในเขตเมือง

ประเทศไทยประกาศใช้นโยบาย "การศึกษาเพื่อปวงชน" ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งได้รับการหนุนเสริมด้วยมติคณะรัฐมนตรี ปี 2548 เกี่ยวกับการศึกษาของบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร และหลักประกันการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 15 ปีสำหรับเด็กทุกคนในประเทศ ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือมีสถานะด้านกฎหมายแบบใด[98] นโยบายนี้ยังได้รับการหนุนเสริมจากการที่ประเทศไทยขอถอนการประกาศข้อสงวนต่อข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 เพื่อให้ความคุ้มครองต่อเด็กผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อประกันว่าเด็กทุกคน รวมทั้งเด็กผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสาร ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และบุคคลไร้รัฐ จะสามารถเข้าถึงการศึกษาได้[99]

แม้จะมีกรอบกฎหมายที่ต้อนรับบุคคลทุกคน แต่ยังคงมีอุปสรรคหลายประการที่ขัดขวางไม่ให้พลเมืองชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสาร เข้าถึงการศึกษา[100] แม้ว่านโยบาย "การศึกษาเพื่อปวงชน" จะช่วยขจัดอุปสรรคด้านกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว โรงเรียนบางแห่งยังคงกำหนดให้ต้องแสดงเอกสารทางราชการตอนสมัครเข้าเรียน ทำให้หลายครอบครัวที่ไม่มีเอกสารไม่ประสงค์จะสมัครเข้าเรียนให้กับบุตรของตน เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เด็กชาวเมียนมาที่ไม่มีเอกสารจำนวนมากจึงเข้าเรียนที่ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ ซึ่งเป็นเหมือนโรงเรียนชุมชนที่ให้การศึกษาที่ละเอียดอ่อนด้านวัฒนธรรม และสอนเป็นภาษาพม่า 

อย่างไรก็ดี ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติไม่ได้รับการรับรองวิทยฐานะ ขาดงบสนับสนุนจากรัฐบาล และมีทรัพยากรที่จำกัด[101] ครอบครัวที่ไม่มีเอกสารบางครอบครัวบอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ว่า พวกเขาไม่กล้าส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนในระบบของไทย เพราะมีความเสี่ยงเนื่องจากไม่มีสถานะด้านกฎหมาย และอาจเป็นเหตุให้ถูกจับกุมหรือถูกเนรเทศ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติแทน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติได้มีจำนวนมากขึ้นในบางพื้นที่เพื่อรองรับคนที่เข้ามาใหม่ แต่อีกหลายแห่งก็ถูกปิดไป และเจ้าหน้าที่ก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับการเข้าเมืองโดยเจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งได้เข้ามากวาดล้างและสั่งปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติที่สอนเป็นภาษาพม่า สอนโดยไม่มีใบอนุญาต และเพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน[102]

การคุ้มครองชั่วคราวสำหรับพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย

เนื่องจากประเทศไทยไม่มีกรอบกฎหมายที่จะรับรองสถานะ และสนับสนุนการมีเอกสารของผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และการที่ยังคงปฏิบัติต่อพลเมืองชาวเมียนมาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยและอยู่ภายในที่พักพิงระยะยาวบริเวณพรมแดน ว่าเป็นบุคคลที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในทางปฏิบัติแล้ว ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเสี่ยงต่อการจับกุม การคุมขัง และอาจถูกส่งกลับในบางกรณี ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงตลอดกาลที่จะตกเป็นเหยื่อของการคุกคาม การข่มขู่ และการรีดไถตามท้องถนน ในที่ทำงาน และที่บ้าน

แม้จะไม่มีข้อมูลปรากฏว่า ในบรรดาพลเมืองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนห้าล้านคนที่อาศัยอยู่นอกค่ายที่พักพิงชั่วคราว เป็นผู้ลี้ภัยโดยพฤตินัยกี่คน เจ้าหน้าที่ไทยก็ไม่ควรเหมารวมว่า พวกเขาเป็นผู้เข้าเมืองที่ไม่มีสิทธิขอรับสถานะของผู้ลี้ภัย หรือไม่ต้องการความคุ้มครอง

รัฐบาลไทยควรกำหนดแนวทางเลือกออกจากนโยบายด้านผู้ลี้ภัยในปัจจุบัน โดยเปิดโอกาสให้พลเมืองชาวเมียนมาสามารถอาศัยอยู่และทำงานต่อไปในประเทศไทยได้ นโยบายเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตและการแสวงหาประโยชน์ และช่วยขจัดบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวของการข่มขู่และการคุกคาม ที่เกิดขึ้นกับคนจากเมียนมา ทั้งยังจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยมีบทบาทสนับสนุนเศรษฐกิจของไทยอย่างยั่งยืนและมีศักดิ์ศรี พลเมืองชาวเมียนมาคิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย และพวกเขาเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง การผลิต และบริการ ดังที่องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานได้เน้นย้ำว่า แรงงานข้ามชาติช่วยลดความเสี่ยงอันเป็นผลมาจากการที่ประชากรมีผู้สูงวัยมากขึ้น และจะช่วยอุดช่องว่างที่สำคัญด้านแรงงาน[103]

การประกาศใช้นโยบายคุ้มครองชั่วคราว

แนวคิดของการประกาศใช้นโยบายคุ้มครองชั่วคราวสำหรับพลเมืองชาวเมียนมา ได้รับการพิจารณามานานแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย. ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร หน่วยงานภาคประชาสังคม และหน่วยงานสหประชาชาติ ต่างเสนอแนะให้มีกรอบคุ้มครองชั่วคราวสำหรับพลเมืองชาวเมียนมาที่หลบหนีมาจากเมียนมา ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อปี 2564 รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปอย่างรีบด่วนว่า

สงครามกลางเมืองในเมียนมา ส่งผลกระทบร้ายแรง บีบให้คนจำนวนมากต้องหลบหนีเข้าสู่ประเทศไทย แต่โชคร้ายที่ประเทศไทยก็ไม่ได้พร้อมรับมือ และผู้ลี้ภัยต้องอาศัยอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ โดยไม่มีสถานะด้านกฎหมาย เราไม่สามารถส่งพวกเขากลับไปได้เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศ เราจึงได้ร่วมมือกับ [องค์กรพัฒนาเอกชน] เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับพวกเขา แต่ก็จำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขในระยะยาว....ในระยะสั้น ประเทศไทยต้องขึ้นทะเบียน....คนเมียนมาที่นี่ ให้พวกเขาได้รับสถานะด้านกฎหมาย ได้ทำงาน และได้เรียนหนังสือ [104]

“ความคุ้มครองชั่วคราว” ได้รับการยอมรับในระดับสากล ว่าเป็นองค์ประกอบของมาตรการเพื่อรับมือกับการอพยพเข้ามาของคนจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการลี้ภัยของบุคคล ในระบบความคุ้มครองชั่วคราวจะไม่มีการให้สถานะของผู้ลี้ภัยหรือสถานะอื่น ๆ โดยปริยาย แต่จะทำงานเป็นกลไกเพื่อประกันการเข้าถึงดินแดน ความคุ้มครอง และความช่วยเหลือ จนกว่าจะมีการจำแนกสถานะได้แล้วเสร็จ[105] ความคุ้มครองชั่วคราวมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองพลเมืองและบุคคลที่ปรกติแล้วอาศัยอยู่ในประเทศนั้น และประสบกับปัญหาสำคัญจนไม่สามารถเดินทางกลับประเทศที่อยู่ได้ เพราะอาจไม่ได้รับความปลอดภัย ต่างจากระบบการลี้ภัยซึ่งอาจช่วยให้บุคคลมีช่องทางเข้าสู่ความคุ้มครองถาวร ความคุ้มครองชั่วคราวไม่ได้กำหนดว่า บุคคลต้องพิสูจน์ว่ามีความหวาดกลัวโดยชอบที่จะถูกประหัตประหาร ในทางตรงกันข้าม เป็นระบบที่กำหนดให้สมาชิกของกลุ่มสัญชาตินั้นได้รับความคุ้มครอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเดินทางกลับไปได้อย่างปลอดภัย โดยเป็นผลมาจากสภาพโดยทั่วไปและสภาพโดยชั่วคราวของประเทศบ้านเกิดของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ในตุรเคีย ระบบความคุ้มครองชั่วคราวได้ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพชาวซีเรีย ซึ่งหลบหนีมาจากสงครามกลางเมืองในประเทศ สหภาพยุโรปก็ได้ใช้อำนาจตามคำสั่งความคุ้มครองชั่วคราว เพื่อรับมือกับวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวยูเครน ภายหลังการรุกรานประเทศอย่างเต็มที่ของรัสเซียในปี 2565[106]

เนื่องจากประเทศไทยไม่มีระบบการลี้ภัย จึงไม่มีหน่วยงานคนเข้าเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการหลั่งไหลเข้ามาของประชาชน ในทางปฏิบัติแล้ว กลไกคัดกรองระดับชาติไม่ได้เปิดโอกาสให้พลเมืองชาวเมียนมาขอรับความช่วยเหลือได้ เนื่องจากมีข้อกำหนดที่กีดกันบุคคลบางสัญชาติที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านและแรงงานข้ามชาติ

ประเทศไทยควรให้ภาคยานุวัติกับอนุสัญญาผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 ควรจัดทำระบบการลี้ภัยของตนเอง และควรให้ความคุ้มครอง ทั้งหลังจากการพิจารณาคำขอเป็นส่วนบุคคล หรือเมื่อพิจารณาว่าผู้ลี้ภัยนั้นมีคุณสมบัติสอดคล้องตามนิยามของอนุสัญญาผู้ลี้ภัย และผู้ที่หลบหนีมาจากสงครามและความรุนแรงในวงกว้าง อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้น ประเทศไทยควรนำระบบความคุ้มครองชั่วคราวมาใช้เป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้พลเมืองชาวเมียนมาสามารถขึ้นทะเบียนที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อการจับกุมหรือการคุมขัง สามารถขอรับสถานะด้านกฎหมาย สามารถขอรับสิทธิในการพำนักอาศัยภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้มีเสรีภาพในการเดินทาง และการมีศักยภาพที่จะเข้าถึงบริการที่จำเป็น รวมทั้งการดูแลสุขภาพและสิทธิในการทำงาน


 

กิตติกรรมประกาศ

รายงานนี้เป็นงานวิจัยและเขียนโดย Nadia Hardman นักวิจัยในแผนกสิทธิผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมือง ฮิวแมนไรท์วอทช์

รายงานนี้ได้รับการอ่านทวนและแก้ไขโดย Bill Frelick, ผู้อำนวยการ Refugee and Migrant Rights director รายงานนี้ยังได้รับการอ่านทวนและแก้ไขโดย Bryony Lau, รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย, สุณัย ผาสุก นักวิจัยอาวุโสในประเทศไทย และ Shayna Bauchner, นักวิจัยด้านเอเชีย ทั้งยังได้รับการอ่านทวนโดย Heather Barr, ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกสิทธิสตรี, Bill Van Esweld, ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกสิทธิเด็ก และ Julia Bleckner, นักวิจัยอาวุโสของโครงการ Global Health Initiative of the Economic Justice and Rights Freddie Salas, เจ้าหน้าที่อาวุโสแผนกสิทธิผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมืองให้ความช่วยเหลือด้านการแก้ไขและการผลิต

James Ross, ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและนโยบาย และ Tom Porteous, ว่าที่ผู้อำนวยการแผนงาน ช่วยอ่านทบทวนด้านกฎหมายและแผนงาน Travis Carr ให้ความช่วยเหลือด้านการจัดทำรายงาน

พวกเราขอขอบคุณพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย ซึ่งยินดีที่จะเผยแพร่ประสบการณ์ของตน รวมทั้งการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เลวร้าย 


 

[1] Shayna Bauchner (ฮิวแมนไรท์วอทช์), “ลักษณะของการลอยนวลพ้นผิด” บทความ, Opinio Juris, 27 กันยายน 2564, https://www.hrw.org/news/2021/09/27/what-impunity-looks.

[2] Assistance Association for Political Prisoners (Burma), “Data Dashboard,” https://coup.aappb.org/data-dashboard (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[3] “เมียนมา: รัฐประหารนำไปสู่อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 31 กรกฎาคม 2564, https://www.hrw.org/news/2021/07/31/myanmar-coup-leads-crimes-against-humanity.

[4] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ, “รายงานของกลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมา,” A/HRC/57/18, 11 กรกฎาคม 2567, https://iimm.un.org/sites/default/files/2024/10/2411995E%20%281%29.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[5] ฮิวแมนไรท์วอทช์, “ความทุกข์ยากที่ไม่ถูกบอกเล่า,” 20 มีนาคม 2555, https://www.hrw.org/report/2012/03/20/untold-miseries/wartime-abuses-and-forced-displacement-burmas-kachin-state#7684 (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[6] อ้างแล้ว

[7] “เมียนมา: ‘กลยุทธ์ผลาญภพ’ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 15 มกราคม 2568, https://www.hrw.org/news/2025/01/16/myanmar-scorched-earth-tactics-intensify.

[8] สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA), อัปเดตสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมา ฉบับที่ 44, 19 กุมภาพันธ์ 2568, https://www.unocha.org/publications/report/myanmar/myanmar-humanitarian-update-no-44-19-february-2025 (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[9] “เมียนมา: การใช้ทุ่นระเบิดเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการเสียชีวิตและกระทบต่ออาชีพ,” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 20 พฤศจิกายน 2567, https://www.hrw.org/news/2024/11/20/myanmar-surging-landmine-use-claims-lives-livelihoods.

[10] Esther J and Rebecca Ratcliffe, “Snatched from their beds, taken on the streets - the young men in Myanmar forced to fight the junta’s losing war”, The Guardian, 28 กันยายน2567. https://www.theguardian.com/world/2024/sep/28/snatched-from-their-beds-taken-on-the-streets-the-young-men-in-myanmar-forced-to-fight-the-juntas-losing-war (เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2568).

[11] สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA),”เมียนมา,” https://www.unocha.org/myanmar (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[12] ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR), พรมแดนประเทศไทย-เมียนมา | ภาพรวมของประชากรผู้ลี้ภัย (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567), 30 มกราคม 2568, https://data.unhcr.org/en/documents/details/114102 (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[13] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), แผนการรับมือของประเทศไทยต่อการอพยพข้ามพรมแดนจากเมียนมา (กันยายน 2567 - สิงหาคม 2568), ตุลาคม 2567, https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2024-10/iom-thailand-response-plan-2024.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[14] อ้างแล้ว

[15] ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR), แนวปฏิบัติเกี่ยวกับความคุ้มครองระหว่างประเทศสำหรับผู้ที่หลบหนีจากเมียนมา, พฤษภาคม 2567, https://www.refworld.org/policy/countrypos/unhcr/2024/en/147974. (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[16] พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 [ประเทศไทย], 30 พฤษภาคม 2522, จาก: http://www.unhcr.org/refworld/docid/46b2f9f42.html (เข้าถึงเมื่อ 18 มีนาคม 2568) การเดินทางเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย หมายถึงการเดินทางเข้ามาหรือออกไปตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่าสถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลา (มาตรา 11).

[17] "ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย," Burma Link, 27 เมษายน 2558, https://www.burmalink.org/background/thailand-burma-border/displaced-in-thailand/refugee-camps/ (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[18] “ประเทศไทย: ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเข้ามาถูกผลักดันกลับไปเมียนมา,” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 29 พฤศจิกายน 2566, https://www.hrw.org/news/2023/11/29/thailand-recent-refugees-pushed-back-myanmar.

[19] “Plan to Set Up Temporary Camps Ready,” Bangkok Post, 5 กุมภาพันธ์ 2567, https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2961435/plan-to-set-up-temporary-camps-ready (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568); Mongkol Bangprapa and Chairith Yonpiam, “Thailand Braces for Refugee Influx,” Bangkok Post, 10 เมษายน 2567, https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2773693/thailand-braces-for-refugee-influx (เข้าถึงเมื่อ 12 พฤษภาคม 2568).

[20] UNHCR, “สำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก: อัปเดตสถานการณ์ในเมียนมา - บังคลาเทศ อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา และประเทศไทย (มกราคม–มีนาคม 2568),” 24 เมษายน 2568, https://reliefweb.int/report/myanmar/unhcr-regional-bureau-asia-and-pacific-myanmar-situation-update-bangladesh-india-indonesia-malaysia-myanmar-and-thailand-january-march-2025 (เข้าถึงเมื่อ 12 พฤษภาคม 2568).

[21] ข้อมูลกลไกคัดกรองระดับชาติ ประเทศไทย, "ข้อมูลกลไกคัดกรองระดับชาติ ประเทศไทย," https://web.archive.org/web/20230929145521/https://nsmthailand.org/ (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[22] "ประเทศไทย: ประกันให้ผู้ลี้ภัยทุกคนเข้าถึง 'กลไกคัดกรองระดับชาติ'," Fortify Rights, 15 ธันวาคม 2565, https://www.fortifyrights.org/tha-inv-2022-12-15/ (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[23] "ประเทศไทย: ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกบังคับส่งกลับไปจีน" ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 27 กุมภาพันธ์ 2568, https://www.hrw.org/news/2025/02/27/thailand-40-uyghurs-forcibly-sent-china.

[24] “ประเทศไทย: นักกิจกรรมเวียดนามเสี่ยงจะถูกบังคับส่งกลับ,” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 22 ตุลาคม 2567, https://www.hrw.org/news/2024/10/22/thailand-vietnamese-activist-risk-forced-return.

[25] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย, "บริบทของการโยกย้ายถิ่นฐาน," https://thailand.iom.int/migration-context (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[26] อ้างแล้ว

[27] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย, ภาพรวมของพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย – มกราคม 2568, มีนาคม 2568, https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2025-03/myanmar_migrants_thailand_jan25_final-1.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[28] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), ภาพรวมของพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย, 24 ตุลาคม 2567, https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2024-10/overview-of-myanmar-nationals-in-thailand-october-24.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[29] สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างแบบทวิภาคีของความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างประเทศเมียนมาและไทย โปรดดู FairSquare Projects, “เมียนมา-ประเทศไทย: โครงสร้างแบบทวิภาคี," https://fivecorridorsproject.org/myanmar-thailand/myanmar-thailand-bilateral-arrangements (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568); Aung Naing, “รัฐบาลทหารเมียนมายุติแผนงานส่งออกแรงงานไปประเทศไทยชั่วคราว,” Myanmar Now, 14 กุมภาพันธ์ 2568, https://myanmar-now.org/en/news/myanmar-junta-pauses-thai-labor-program/ (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[30] จนถึงเดือนมีนาคม 2567 ตามข้อมูลของกรมการจัดหางาน พลเมืองชาวเมียนมา 2,308,166 ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานข้ามชาติ เป็นจำนวนสูงสุดในรอบหลายปี โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของแรงงานขึ้นทะเบียนในประเทศไทย แนวทางหลักในการขอรับเอกสารของผู้เข้าเมืองในประเทศไทย มักใช้ช่องทางของมติคณะรัฐมนตรี

[31] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย, “ภาพรวมของพลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย – มกราคม 2568,” https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2025-03/myanmar_migrants_thailand_jan25_final-1.pdf.

[32] พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 [ประเทศไทย], มาตรา 12

[33] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ขิ่น จี, ภาคเหนือของประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568

[34] Assistance Association for Political Prisoners (Burma), What’s Happening in Myanmar Data Dashboard, https://coup.aappb.org/data-dashboard (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[35] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์จอ ทู, ภาคเหนือของประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568

[36] ฮิวแมนไรท์วอทช์, รายงานสถานการณ์โลกปี 2568 (นิวยอร์ก: ฮิวแมนไรท์วอทช์, 2568) บทที่ว่าด้วยเมียนมา, https://www.hrw.org/world-report/2025/country-chapters/myanmar.

[37] “เมียนมา: กองทัพพุ่งเป้าโจมตีชาวโรฮิงญา รัฐยะไข่,” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, 12 สิงหาคม 2567, https://www.hrw.org/news/2024/08/12/myanmar-armies-target-ethnic-rohingya-rakhine.

[38] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เมียะ เมียะ, อำเภอแม่สอด, ประเทศไทย, 18 กุมภาพันธ์ 2568.

[39] คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมีข้อสังเกตดังกล่าว ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ (กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง, ข้อ 26). โปรดดู M.J.G. (ตัดชื่อออก) v. Netherlands, CCPR/C/32/D/267/1987, 24 มีนาคม 2531 http://www.unhcr.org/refworld/pdfid/50b8eca22.pdf, ย่อหน้า 3.2; และโปรดดูกรณีก่อนหน้านี้ R.T.Z. (ตัดชื่อออก) v. Netherlands, CCPR/C/31/D/245/1987, 5 พฤศจิกายน 2530, http://www.unhcr.org/refworld/pdfid/50b8ed122.pdf.

[40] โปรดดูตัวอย่างเช่น คณะกรรมาธิการระหว่างอเมริการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (“IACHR”), “รายงานฉบับที่สี่ว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในกัวเตมาลา” OEA/Ser.L/V/II.83, Doc. 16 rev., 1 มิถุนายน 2536, บทที่ V

[41] โปรดดู อนุสัญญา ILO (ฉบับที่ 182) ว่าด้วยการห้ามและการดำเนินการโดยทันทีเพื่อขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งเมียนมาให้สัตยาบันรับรองในเดือนธันวาคม 2566, และพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการขัดกันทางอาวุธ เมียนมาให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับนี้ในปี 2562

[42] ILO, เพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีในเมียนมา รายงานของคณะกรรมการไต่สวนที่จัดตั้งขึ้นตามข้อ 26 ของธรรมนูญไอแอลโอที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่เมียนมาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว, 2491 (ฉบับที่ 87), และอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานบังคับ, 2473 (ฉบับที่ 29), 2566, https://www.ilo.org/publications/towards-freedom-and-dignity-myanmar (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).; ILO, 2567, คำวินิจฉัยภายหลังมีการเผยแพร่รายงานของคณะกรรมการไต่สวน ที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคำร้องเกี่ยวกับกรณีที่เมียนมาไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ 87 และ 29, GB.352/INS/11(Rev.1)/Decision, 6 พฤศจิกายน 2567, https://www.ilo.org/resource/record-decisions/gb/352/decision-concerning-follow-report-commission-inquiry-appointed-consider (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[43] อ้างแล้ว

[44] ฮิวแมนไรท์วอทช์, รายงานสถานการณ์โลกปี 2568, บทที่ว่าด้วยเมียนมา, https://www.hrw.org/world-report/2025/country-chapters/myanmar.

[45] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ, “เด็กและการขัดกันทางอาวุธในเมียนมา,” S/2025/81, 12 มีนาคม 2568, https://documents.un.org/doc/undoc/gen/n25/066/35/pdf/n2506635.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[46] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ซอ วิน, 18 กุมภาพันธ์ 2568 

[47] ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR), “แนวปฏิบัติว่าด้วยความคุ้มครองระหว่างประเทศปี ฉบับที่ 10: การขอรับสถานะของผู้ลี้ภัยด้วยเหตุเนื่องจากการรับราชการทหาร ในบริบทของข้อ 1A(2) ของอนุสัญญา พ.ศ. 2494 และ/หรือพิธีสารเลือกรับที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้ลี้ภัย” HCR/GIP/13/10, 3 ธันวาคม 2556, https://www.unhcr.org/media/guidelines-international-protection-no-10-claims-refugee-status-related-military-service (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[48] อ้างแล้ว, ย่อหน้า 21

[49] ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC), "แถลงการณ์ของ Karim A.A. Khan KC พนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ: การขอออกหมายจับในสถานการณ์ในบังคลาเทศ/เมียนมา," 27 พฤศจิกายน 2567, https://www.icc-cpi.int/news/statement-icc-prosecutor-karim-aa-khan-kc-application-arrest-warrant-situation-bangladesh (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[50] อ้างแล้ว

[51] โปรดดู ตัวอย่างเช่น เดือนตุลาคม 2567 รายงานของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในเมียนมา: “รัฐบาลทหารเมียนมาได้เพิ่มการโจมตีพลเรือน ทิ้งระเบิดใส่เมืองต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มต่อต้าน ทหารของรัฐบาลมีส่วนรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่ การตัดศีรษะ การรุมข่มขืน และการทรมาน ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงวัยเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ถูกสังหาร” ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ, "รายงานการดำเนินงานของสำนักงานบริการการกำกับดูแลภายในแห่งสหประชาชาติ," A/79/550, กันยายน 2567, https://docs.un.org/en/A/79/550 (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[52] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNHRC), รายงานของกลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมา, A/HRC/57/18, 11 กรกฎาคม 2567, https://iimm.un.org/sites/default/files/2024/10/2411995E%20%281%29.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568), ย่อหน้า 1 และ 19

[53] ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป, EZ v. Bundesrepublik Deutschland, คำพิพากษาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563, C-238/19, จาก https://curia.europa.eu/juris/document/document.jsf;jsessionid=F70ABB6C241FB99AFD9EAAE1C4842F7A?text=&docid=233922&pageIndex=0&doclang=EN&mode=lst&dir=&occ=first&part=1&cid=2063270, ย่อหน้า 60

[54] Pimuk Rakkanam and RFA Burmese, “Thailand Arrests, Deports 144,000 Myanmar Workers for Illegal Entry,” Radio Free Asia, 30 สิงหาคม 2567, https://www.rfa.org/english/news/myanmar/thailand-deports-workers-08302024011330.html (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[55] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เอ จี, ประเทศไทย, 12 กุมภาพันธ์ 2568

[56] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ยูเอ็น, ประเทศไทย, 7 กุมภาพันธ์ 2568

[57] Jonathan Head, "ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาลี้ภัยในอำเภอแม่สอดของประเทศไทย," BBC News, 17 เมษายน 2567, https://www.bbc.com/news/world-asia-68823500 (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[58] โปรดดู “ประเทศไทย: ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเข้ามาถูกผลักดันกลับไปเมียนมา,” ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, https://www.hrw.org/news/2023/11/29/thailand-recent-refugees-pushed-back-myanmar; "ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย," Burma Link, https://www.burmalink.org/background/thailand-burma-border/displaced-in-thailand/refugee-camps/ (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568).

[59] การจ่ายเงินแบบนี้ละเมิดกฎหมายอาญาของไทยที่ห้ามเจ้าหน้าที่รีดไถ "Thailand Penal Criminal Law Translation," Thailand Law Online, เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568, https://www.thailandlawonline.com/table-of-contents/criminal-law-translation-thailand-penal-code, มาตรา 337

[60] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ขิ่น หม่อง, ภาคเหนือของประเทศไทย, 13 กุมภาพันธ์ 2568 

[61] พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 [ประเทศไทย] https://royalthaipolice.go.th/downloads/laws/laws_03_03-03.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568), มาตรา 64, 

[62] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์มยินต์ ฉ่วย, ภาคเหนือของประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568

[63] อ้างแล้ว 

[64] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทย, อำเภอแม่สอด, 19 กุมภาพันธ์ 2568 

[65] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เต๊ต นาย, อำเภอแม่สอด, 19 กุมภาพันธ์ 2568 

[66] อ้างแล้ว

[67] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ขิ่น หม่อง, อำเภอแม่สอด, 19 กุมภาพันธ์ 2568

[68] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์วิน จี, อำเภอแม่สอด, 18 กุมภาพันธ์ 2568

[69] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์โซ มยินต์, อำเภอแม่สอด, 20 กุมภาพันธ์ 2568

[70] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ถั่น ถั่น เน, อำเภอแม่สอด, 20 กุมภาพันธ์ 2568

[71] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ทิน ฉ่วย, อำเภอแม่สอด, 17 กุมภาพันธ์ 2568

[72] The Border Consortium, “เสียงของผู้พลัดถิ่น: มุมมองของผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่เพิ่งอพยพมาประเทศไทย,” พฤษภาคม 2567, https://www.theborderconsortium.org/wp-content/uploads/2024/05/voice-of-displaced-2024_120524.pdf (เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2568).

[73] Mixed Migration Centre (MMC), Comparing Smuggling Dynamics: from Myanmar to Malaysia and Thailand, มีนาคม 2567, https://mixedmigration.org/wp-content/uploads/2024/03/322_Smuggling-MYR-to-Malaysia-and-Thailand.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[74] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ฮามิดาและเมียว มยินต์, อำเภอแม่สอด, 15 กุมภาพันธ์ 2568

[75] Karen Information Center, “รัฐบาลไทยจะออกบัตรประจำตัวให้กับแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย," Burma News International, 30 กันยายน 2567, https://www.bnionline.net/en/news/thai-government-issue-identification-cards-illegal-migrant-workers (เข้าถึงเมื่อ 9 เมษายน 2568); “คณะมนตรีเห็นชอบต่อการขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาต” P.C. 80 & Services, 4 กุมภาพันธ์ 2568, https://pcpservice.com/en/cabinet-resolution/04-feb-2025/ (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[76] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ยูเอ็น, ประเทศไทย, 7 กุมภาพันธ์ 2568

[77] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ, ประเทศไทย, 7 กุมภาพันธ์ 2568

[78] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์เอ จี, ประเทศไทย, 12 กุมภาพันธ์ 2568

[79] Eleven Media, “รัฐบาลไทยจะสั่งปิดศูนย์หนังสือสำคัญประจำตัว สำหรับผู้เข้าเมืองที่ไม่มีเอกสารจากเมียนมาในวันที่ 7 กรกฎาคม” The Nation (Bangkok), 2 กรกฎาคม 2567, https://www.nationthailand.com/news/asean/40039328 (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[80] เครือข่ายเพื่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา (MRN), “รายงานการทบทวนกฎหมายและนโยบายของไทย: ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อพยพที่เข้ามาใหม่จากเมียนมา,” พฤษภาคม 2567, https://asylumaccess.org/wp-content/uploads/2024/05/MRN-Law-Review_EN.pdf (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[81] ประชาไท, "ภาคประชาสังคมกังวลเกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น หลังการสั่งปิดศูนย์ CI," 15 กรกฎาคม 2567, Prachatai English, https://prachataienglish.com/node/11018 (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[82] “ประเทศไทย: ยุติการบังคับส่งกลับไปเมียนมา," 11 เมษายน 2567, ใบแถลงข่าวของฮิวแมนไรท์วอทช์, https://www.hrw.org/news/2024/04/11/thailand-halt-forced-returns-myanmar; “ประเทศไทย: ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเข้ามาถูกผลักดันกลับไปเมียนมา," 29 พฤศจิกายน 2566, https://www.hrw.org/news/2023/11/29/thailand-recent-refugees-pushed-back-myanmar; "ประเทศไทย: นักกิจกรรมจากเมียนมาถูกบังคับส่งกลับ," 12 เมษายน 2566, https://www.hrw.org/news/2023/04/12/thailand-myanmar-activists-forcibly-returned; Nayt Thit, "แรงกดดันต่อประเทศไทยเพิ่มขึ้น ในขณะที่จะมีการส่งตัวชาวเมียนมา 200 คนกลับไปที่รัฐบาลทหารซึ่งเป็นเครื่องจักรกลของสงคราม," The Irrawaddy, 4 มีนาคม 2568, https://www.irrawaddy.com/news/myanmars-crisis-the-world/pressure-on-thailand-grows-as-200-myanmar-deportees-fed-into-junta-war-machine.html (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[83] อ้างแล้ว

[84] สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565, https://drive.google.com/file/d/1oS2FCkZGht8GmXy4wFcx5wGUoy0P_quw/view (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[85] "Thailand Arrests, Deports 144,000 Myanmar Workers for Illegal Entry," Radio Free Asia, https://www.rfa.org/english/news/myanmar/thailand-deports-workers-08302024011330.html.

[86] Nayt Thit, "แรงกดดันต่อประเทศไทยเพิ่มขึ้น ในขณะที่จะมีการส่งตัวชาวเมียนมา 200 คนกลับไปที่รัฐบาลทหารซึ่งเป็นเครื่องจักรกลของสงคราม," The Irrawaddy, 27 มกราคม 2568, https://www.irrawaddy.com/news/investigation/thai-immigration-officials-feed-myanmar-deportees-into-juntas-war-machine.html (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน2568).

[87] อ้างแล้ว

[88] อ้างแล้ว

[89] ฮิวแมนไรท์วอทช์โทรศัพท์สัมภาษณ์เย นี, อำเภอแม่สอด, 9 เมษายน 2568

[90] อ้างแล้ว 

[91] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560, คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560, https://cyrilla.org/entity/rata7ydgjrf?page=1&file=1588768718987fhkhri8aos.pdf (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568), มาตรา 55

[92] "ประเทศไทย: ประกันการดูแลสุขภาพให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา," Fortify Rights, 26 ตุลาคม 2566, https://www.fortifyrights.org/tha-inv-2023-10-26/ (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[93] ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์อ่อง โก, จังหวัดเชียงใหม่, 12 กุมภาพันธ์ 2568

[94] อ้างแล้ว 

[95] อ้างแล้ว

[96] กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR), รับรองเมื่อ 16 ธันวาคม 2509, G.A. Res. 2200A (XXI), 21 U.N. GAOR Supp. (ฉบับที่ 16) at 49, U.N. Doc. A/6316 (1966), 993 U.N.T.S. 3, มีผลบังคับใช้เมื่อ 3 มกราคม 2519, ให้สัตยาบันโดยประเทศไทยในวันที่ 5 กันยายน 2542, ข้อ 2 และ 12

[97] คณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม, “ประเด็นที่เป็นสาระบัญญัติอันเนื่องมาจากการดำเนินงานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม,” ความเห็นทั่วไปที่ 14, สิทธิที่จะมีสุขภาพตามมาตรฐานสูงสุด, E/C.12/2000/4 (2000), https://www.ohchr.org/sites/default/files/Documents/Issues/Women/WRGS/Health/GC14.pdf (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568), ย่อหน้า 12

[98] Phanna Kov, “Expanding Access to Education for Children of Migrants Through Learning Centres,” The Nation (Bangkok), 20 มกราคม 2566, https://www.nationthailand.com/blogs/thailand/general/40024182 (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[99] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), รายงานการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย ปี 2567, ธันวาคม 2567, https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2024-12/thailand-migration-report-2024.pdf (เข้าถึงเมื่อ 26 พฤษภาคม 2568).

[100] Frank Bird, Shwe Zin Thin, and Yoon Thiri, “Three Doors of Discrimination: The Causal Mechanisms of Educational Challenges for Migrant Children from Myanmar,” Education and Conflict Review, vol. 5 (พฤษภาคม 2568), น. 135–142, https://discovery.ucl.ac.uk/id/eprint/10207913/1/13%20Three%20doors%20of%20discrimination.pdf (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568) เด็กที่ไม่มีเอกสารจากทุกสัญชาติประมาณ 134,000 คน (ไม่เฉพาะเด็กที่เป็นพลเมืองชาวเมียนมา) ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกระทรวงศึกษาธิการของไทย จากการเข้าเรียนในโรงเรียนในระบบหรือการศึกษานอกโรงเรียน แม้ว่าจะมีเพียง 81,000 คนที่เข้าเรียนในระบบการศึกษาแห่งชาติ จนถึงปี 2566 โปรดดู อ้างแล้ว, เชิงอรรถ 95

[101] Mary Purkey and Megan Irving, “The Importance of Access and Accreditation: Learning from the Thailand–Myanmar Border,” Joint Data Center on Forced Displacement, 2019, https://www.jointdatacenter.org/literature_review/the-importance-of-access-and-accreditation-learning-from-the-thailand-myanmar-border/ (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[102] Supapong Chaolan, “Education Office Defends Closure of Learning Centre” Bangkok Post, 10 กันยายน 2567, https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2862537/education-office-defends-closure-of-learning-centre (เข้าถึงเมื่อ 12 พฤษภาคม 2568) และโปรดดู รายงานการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย ปี 2567, UN Network on Migration, น. 93

[103] องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน, Bridging the Gap: Optimizing the Contribution of Labour Migration for Thailand’s Social and Economic Transformation, 2566, https://publications.iom.int/books/bridging-gap-optimizing-contribution-labour-migration-thailands-social-and-economic-transformation (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).

[104] Ingyin Naing, "ส.ส.โรมของไทยกระตุ้นให้มีการปฏิรูปเพื่อแก้ไขวิกฤตผู้เข้าเมืองจากเมียนมา การทุจริต," Voice of America, 28 กันยายน 2567, https://www.voanews.com/a/thai-mp-rome-urges-reform-to-fix-myanmar-migration-crisis-corruption/7803047.html, (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[105] “กรอบกฎหมาย – ความคุ้มครองชั่วคราว,” UNHCR, อัปเดตเมื่อ 7 ธันวาคม 2566, https://emergency.unhcr.org/protection/legal-framework/temporary-protection, (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568); Zenginkuzucu, D. M. (2021). "A Comparative Analysis on International Refugee Law and ความคุ้มครองชั่วคราว in the Context of Turkey," The Age of Human Rights Journal, Vol. 17, น. 385-410, https://www.echr.coe.int/documents/d/echr/ZENGINKUZUCU-2021-Comparative_analysis_international_refugee_law_Turkey (เข้าถึงเมื่อ 10 เมษายน 2568).

[106] “ความคุ้มครองชั่วคราวในตุรเคีย” UNHCR Türkiye, https://help.unhcr.org/turkiye/information-for-syrians/temporary-protection-in-turkey/ (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568); “ความคุ้มครองชั่วคราว,” European Commission Migration and Home Affairs, อัปเดตเมื่อ 2 เมษายน 2568, https://home-affairs.ec.europa.eu/policies/migration-and-asylum/asylum-eu/temporary-protection-0_en (เข้าถึงเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568).