Skip to main content

ประเทศไทย: การปฏิบัติมิชอบและการแสวงหาประโยชน์ของทางการต่อพลเมืองสัญชาติเมียนมา

นำระบบความคุ้มครองชั่วคราวมาใช้; ยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย

แรงงานข้ามชาติสัญชาติเมียนมาระหว่างอยู่ในห้องเช่าที่จังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย 26 มกราคม 2568  © 2025 LILLIAN SUWANRUMPHA/AFP via Getty Images
  • เจ้าหน้าที่ไทยข่มขู่ รีดไถ และควบคุมตัวพลเมืองสัญชาติเมียนมา ซึ่งหลบหนีมาจากการละเมิดสิทธิของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อแสวงหาความปลอดภัยในประเทศไทย
  • แนวทางเดียวที่พลเมืองสัญชาติเมียนมาส่วนใหญ่จะได้รับสถานะด้านกฎหมาย คือการเป็นแรงงานข้ามชาติ พวกเขาถูกกีดกันออกจากมาตรการล่าสุดของรัฐบาลไทยที่ให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัยบางกลุ่ม
  • รัฐบาลไทยควรนำระบบความคุ้มครองชั่วคราวมาใช้กับพลเมืองสัญชาติเมียนมา

(กรุงเทพฯ) – ทางการไทยข่มขู่ รีดไถ และควบคุมตัวพลเมืองสัญชาติเมียนมา ซึ่งหลบหนีมาจากการละเมิดสิทธิของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อแสวงหาความปลอดภัยในประเทศไทย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในรายงานที่เผยแพร่ในวันนี้

รายงานความยาว 51 หน้า ‘“ผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลย’: ไม่มีเอกสารและถูกแสวงหาประโยชน์ พลเมืองชาวเมียนมาในประเทศไทย’ สำรวจสถานการณ์ที่ตำรวจไทยมักเรียกให้พลเมืองสัญชาติเมียนมาหยุดตรวจ และรีดไถเงินจากพวกเขา พร้อมกับขู่ว่าจะจับกุมและคุมขัง หากไม่ยอมจ่ายสินบน ฮิวแมนไรท์วอทช์พบว่า การปฏิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในอำเภอชายแดนติดกับเมียนมา อย่างอำเภอแม่สอด โดยบุคคลซึ่งแสวงหากำไรจากการทุจริตเหล่านี้ ถึงกับเรียกพลเมืองชาวเมียนมาว่าเป็น “ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่” พลเมืองสัญชาติเมียนมาจึงต้องใช้ชีวิตด้วยความกลัวว่าจะถูกส่งกลับอยู่ตลอด ทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริง และจำเป็นต้องจำกัดการเดินทางของตนเอง เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาของตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น ๆ ที่พยายามแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเขา

“หลังจากหลบหนีจากความขัดแย้ง การประหัตประหาร และการปิดกั้นสิทธิ พลเมืองสัญชาติเมียนมาต้องการความคุ้มครองในประเทศไทย” Nadia Hardman นักวิจัยด้านสิทธิผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมืองของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยปฏิเสธไม่ให้พวกเขาได้รับสถานะด้านกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ได้แสวงหาประโยชน์จากความเปราะบางเหล่านี้ และได้รีดไถเงินจากพวกเขา”

นับแต่การทำรัฐประหารในเมียนมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลทหารได้ปฏิบัติการมิชอบอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รวมทั้งการก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ประชาชนจำนวนมากหลบหนีจากความรุนแรง การประหัตประหาร และเศรษฐกิจที่ล่มสลาย รวมทั้งการปิดกั้นการเข้าถึงความช่วยเหลือ โดยหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน พลเมืองสัญชาติเมียนมากว่าสี่ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศไทย เกือบครึ่งหนึ่งเป็นบุคคลไม่มีเอกสาร

ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์พลเมืองสัญชาติเมียนมา 30 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลายคนเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ แม้จะไม่มีการยอมรับสถานะของพวกเขาเช่นนั้นก็ตาม และมีช่องทางที่จะเข้าถึงสถานะตามกฎหมายในประเทศไทยที่จำกัด พลเมืองสัญชาติเมียนมาที่ไม่มีเอกสารเหล่านี้ถูกบีบให้ต้องแสวงหาความปลอดภัยและการประกอบอาชีพในประเทศไทย และหลีกเลี่ยงที่จะถูกส่งกลับไปเผชิญกับการปราบปราม ความขัดแย้ง และวิกฤตด้านมนุษยธรรมในเมียนมา

ผู้ที่ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไทยทำให้พวกเขาหวาดกลัวและเป็นการข่มขู่ต่อพวกเขา ทำให้รู้สึกถูกผลักอยู่ชายขอบ และถูกแสวงหาประโยชน์ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยได้ทำงานเป็นเครือข่ายของระบบการรีดไถแบบกึ่งทางการ ซึ่งรวมถึง “การขาย” “บัตรตำรวจ” อย่างไม่เป็นทางการให้กับพลเมืองสัญชาติเมียนมา ที่แสวงหาแนวทางที่จะได้รับเอกสารหรือหลีกเลี่ยงการถูกจับ ช่องทางเดียวสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์หรือไม่สามารถจะซื้อบัตรดังกล่าว คือการขังตัวเองไว้ในบ้าน

ผู้สื่อข่าวอายุ 30 ปีจากเมียนมา ซึ่งหลบหนีมาที่อําเภอแม่สอดกล่าวว่า “ภัยคุกคามสำคัญ [ในอำเภอแม่สอด] คือตำรวจ ผมกลัวพวกเขา…ผมเคยถูก [ตำรวจ] เรียกให้หยุดตรวจหกครั้ง มีอยู่สามครั้งที่ผมต้องจ่ายเงินให้ตำรวจ พวกเขาถึงจะปล่อยตัวมา”

แม้แต่คนที่ยอมจ่ายเงินซื้อ “บัตรตำรวจ” ก็อาจไม่ได้รับความคุ้มครองจากการถูกส่งกลับเสมอไป การส่งกลับพลเมืองสัญชาติเมียนมาจำนวนมาก รวมทั้งเด็ก ยังคงเกิดขึ้นต่อไปทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่พวกเขาจะต้องเผชิญเมื่อต้องกลับไปเมียนมา ผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า แม้จะมีการจ่ายสินบนเพื่อซื้อความปลอดภัยให้กับตัวเองและหลานสาววัย 12 ขวบแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ยังจับกุมตัวเธอทั้งสองคน นำตัวไปไว้ที่สถานกักตัวเป็นเวลาเก้าวัน จากนั้นก็ส่งกลับไปเมียนมา

พลเมืองสัญชาติเมียนมาส่วนใหญ่ซึ่งให้สัมภาษณ์กับฮิวแมนไรท์วอทช์ อยู่ระหว่างการขอหรือการต่อบัตรแรงงานข้ามชาติซึ่งมักเรียกกันว่า “บัตรชมพู” โดยเป็นเอกสารสำคัญสำหรับพลเมืองสัญชาติเมียนมาในประเทศไทย และให้สถานะด้านกฎหมายกับพวกเขา ในการขอรับบัตรดังกล่าว แรงงานข้ามชาติจะต้องมีนายจ้างมาเซ็นรับรอง

ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 และไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย หรือไม่มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการแสวงหาที่ลี้ภัย ซึ่งสามารถนำมาใช้กับพลเมืองในทุกสัญชาติ ในทางตรงกันข้าม ในปี 2566 รัฐบาลได้ประกาศใช้ กลไกคัดกรองระดับชาติ ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะเดินทางกลับไปประเทศอันเป็นภูมิลำเนาเนื่องจากความกลัวต่อการประหัตประหาร สามารถแสวงหาความคุ้มครองได้

แม้จะถือเป็นก้าวย่างที่นำไปสู่ความคุ้มครองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่กลไกคัดกรองระดับชาติและระเบียบข้อปฏิบัติ ยังคง กีดกันเป็นส่วนใหญ่ ต่อบุคคลบางสัญชาติซึ่งไม่สามารถเข้าถึงกลไกดังกล่าวได้ รวมทั้งแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา กัมพูชา และลาว 

พลเมืองสัญชาติเมียนมาบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุบัตรแรงงานข้ามชาติใน “ช่วงเวลาผ่อนผัน” ซึ่งรัฐบาลไทยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารสามารถขอรับสถานะด้านกฎหมายได้ หรือการขอบัตรเป็นครั้งแรก พวกเขาต้องพึ่งพานายหน้าเพื่อจัดการกับเอกสารต่าง ๆ และมักต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารที่จำเป็น และช่วยจัดการในกระบวนการที่ซับซ้อน ในทุกกรณีซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ตรวจสอบ รายชื่อนายจ้างที่ระบุใน “บัตรชมพู” ของแรงงานข้ามชาติจะไม่ตรงกับนายจ้างตัวจริง โดยเป็นนายจ้างปลอม

ในขณะที่บัตรชมพูให้ความคุ้มครองระดับหนึ่งจากการถูกจับกุม คุมขัง และส่งกลับ แต่ก็ไม่ได้เป็นเอกสารที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับผู้ที่น่าจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย แม้จะไม่มีระบบที่รับรองสถานะของพวกเขา

รัฐบาลไทยควรประกาศใช้กฎหมาย เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนปฏิบัติในการรับรองสถานะของผู้ลี้ภัย และให้ที่ลี้ภัยที่สอดคล้องตามมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว บุคคลจากทุกสัญชาติควรสามารถเข้าถึงสถานะของผู้ลี้ภัย ตามหลักเกณฑ์เดียวกัน สอดคล้องตามนิยามของผู้ลี้ภัยในระดับสากล รวมทั้งการให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมกับผู้ที่หลบหนีมาจากความขัดแย้ง และผู้ลี้ภัยควรได้รับอนุญาตให้ทำงาน 

ในเบื้องต้น ประเทศไทยควรนำกรอบความคุ้มครองชั่วคราวมาใช้สำหรับพลเมืองสัญชาติเมียนมา เพื่อเป็นการยอมรับต่อความต้องการในเบื้องต้นของประชาชนหลายพันคน ซึ่งหลบหนีมาจากการประหัตประหาร หรือความขัดแย้งในประเทศของตน สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้กล่าวหลายครั้งแล้วว่า บุคคลเหล่านี้ไม่ควรถูกกดดันให้กลับไปเมียนมา “ประชาชนที่หลบหนีมาจากเมียนมา ต้องได้รับอนุญาตให้เข้าถึงดินแดนเพื่อแสวงหาที่ลี้ภัย และเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองจากการส่งกลับ” 

“ทางการไทยควรดำเนินการที่สอดคล้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ และให้ความคุ้มครองอย่างเป็นผลต่อบุคคลที่หลบหนีมาจากเมียนมา” Hardman กล่าว “รัฐบาลไทยควรยุติการแสวงหาประโยชน์และความทุกข์ทรมานของพลเมืองสัญชาติเมียนมาหลายล้านคนที่ไม่มีเอกสาร”

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.