(กรุงเทพฯ) – ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากว่า 100,000 คนในประเทศไทย ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านอาหารและเวชภัณฑ์ เนื่องจากการตัดงบประมาณของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อพวกเขา ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ รัฐบาลไทยควรอนุญาตทันทีให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้ตามกฎหมาย และสามารถเดินทางออกนอกค่ายที่พักพิงได้
การตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศ ของรัฐบาลทรัมป์ รวมทั้งเงินบริจาคช่วยเหลือที่ลดลงจากแหล่งอื่น ส่งผลให้หน่วยงาน The Border Consortium ต้องยุติการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารเกือบทั้งหมด รวมทั้งการยุติการให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของ International Rescue Committee ในค่ายที่พักพิงเก้าแห่งตลอดแนวพรมแดนประเทศไทย-เมียนมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 การตัดงบประมาณตั้งแต่เดือนมกราคมก็ได้ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเสียชีวิตไปหลายรายแล้ว พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ทำงานได้ตามกฎหมาย ไม่สามารถเดินทางได้อย่างเสรี ทั้งไม่สามารถเข้าถึงบริการในประเทศไทย เป็นเหตุให้ต้องพึ่งพิงอย่างมากกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
สภาความมั่นคงแห่งชาติของประเทศไทย เสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาความช่วยเหลือที่ลดลงในศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัย แต่กระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้ประกาศเป็นนโยบายใด ๆ
“การตัดลดงบประมาณเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ควรกระตุ้นรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา 100,000 คนในค่ายที่พักพิงตามแนวพรมแดน” Shayna Bauchner นักวิจัยภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต่างต้องการที่จะดูแลครอบครัวของตนเอง และหากรัฐบาลอนุญาตให้พวกเขาทำงานได้ จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย”
ค่ายที่พักพิงถูกสร้างขึ้นตามแนวพรมแดนประเทศไทย-เมียนมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 เพื่อรองรับผู้ที่หลบหนีมาจากการโจมตีของกองทัพเมียนมาต่อกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ในปัจจุบัน ค่ายเหล่านี้เป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยกว่า 107,000 คน รวมทั้งผู้ลี้ภัยประมาณ 91,000 คนตามฐานข้อมูลของรัฐบาลไทยและ UNHCR หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ
ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยแปดคนจากค่ายแม่หละ ซึ่งเป็นค่ายใหญ่สุดช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หกคนอาศัยอยู่ในค่ายแห่งนี้มาหลายทศวรรษแล้ว นับแต่หลบหนีมาจากภาคตะวันออกของรัฐกะเหรี่ยงในเมียนมา ส่วนอีกสองคนเกิดในค่ายผู้ลี้ภัย
ตอนที่มีการประกาศตัดงบประมาณของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกช่วงต้นปี 2568 มีการลดเงินช่วยเหลือรายเดือนลงเหลือเพียง 77 บาทต่อผู้ใหญ่หนึ่งคน หรือคิดเป็น 2.30 เหรียญสหรัฐฯ The Border Consortium เตือนเมื่อเดือนมีนาคมว่า หากไม่ได้รับเงินสนับสนุนทันที ผู้ลี้ภัยจะต้อง “เผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายและคุกคามต่อชีวิต” ในวันที่ 31 กรกฎาคม มีการตัดความช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับทุกครอบครัวทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อกว่า 80% ของครัวเรือน โดยครัวเรือนที่มี “ความเปราะบาง” และ “ความเปราะบางมากสุด” จะยังคงได้รับความช่วยเหลือต่อไปแบบจำกัด
“ในอดีต พวกเราได้รับความช่วยเหลือมากเพียงพอ” ผู้ลี้ภัยอายุ 34 ปีกล่าว “แต่ต่อมามีการตัดเงินช่วยเหลือทีละน้อย ในขณะที่เงินช่วยเหลือลดลง แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แม้จะได้เงิน 77 บาทต่อเดือน แต่ก็แทบไม่พอที่จะซื้ออะไรได้เลย”
ระหว่างปี 2565 ถึง 2567 ภาวะทุพโภชนาการเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบในค่าย เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในอย่างน้อยในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา
ผู้ลี้ภัยทุกคนที่ให้ข้อมูลกับฮิวแมนไรท์วอทช์บอกว่า ถ้าได้รับอนุญาต พวกเขาก็อยากไปทำงานนอกค่าย การห้ามไม่ให้พวกเขาทำงานได้ตามกฎหมาย นอกจากเป็นการขัดขวางไม่ให้เขาแสวงหารายได้ ยังเป็นการปฏิเสธศักดิ์ศรีและปิดกั้นการพึ่งตนเองของพวกเขา
“เรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกขังอยู่ในบ้าน” ผู้ลี้ภัยอายุ 34 ปีกล่าว “ถ้ารัฐบาลไทยอนุญาตให้เราออกไปทำงานได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกคน เราก็จะสามารถหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
ผู้ลี้ภัยบางคนหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการรับจ้างทำงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งก็ถูกตัดงบประมาณเช่นกัน ส่วนคนอื่นต้องหาทางออกไปทำงานนอกค่าย เป็นแรงงานนอกระบบรายวัน ทำงานเก็บเกี่ยวข้าวโพดหรือข้าว และเสี่ยงที่จะถูกจับกุม ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งบอกว่า เจ้าหน้าที่ไทยสั่งปรับเขาเป็นเงิน 500 ถึง 1,000 บาทหากถูกพบว่าออกไปนอกค่าย แต่ปัจจุบันเนื่องจากมี พลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมากที่เดินทางเข้าสู่ ประเทศไทย จึงมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าผู้ลี้ภัยจะถูกควบคุมตัว ถูกรีดไถ หรือถูกเนรเทศ หากพบว่าเดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาต
นับแต่การทำรัฐประหารปี 2564 ในเมียนมา ประชากรในค่ายที่พักพิงเพิ่มขึ้น 35% ความทารุณโหดร้ายของกองทัพบีบบังคับให้ประชาชนกว่าหนึ่งล้านคนหลบหนีเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน การโจมตีทางอากาศและ การใช้ทุ่นระเบิดของกองทัพเมียนมายังคงเป็นภัยคุกคามต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พรมแดน ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยและไม่สามารถเดินทางกลับไปได้
“เพราะว่าเราเกิดที่นี่ [ในประเทศไทย] เราเคยคิดเหมือนกันว่านี่เป็นประเทศของเรา เราเป็นคนของที่นี่” ผู้ลี้ภัยวัย 37 ปีกล่าว “แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น และได้รู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศของเรา แต่ในเมียนมา พวกเราก็ไม่รู้จะกลับไปที่ไหนเช่นกัน”
การตัดลดความช่วยเหลือส่งผลให้ประชาชนต้องใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาตัวรอดมากขึ้น รวมทั้งการอพยพที่เสี่ยงภัยอย่างมาก ผู้หญิงสองคนซึ่งมีอายุราว 20 กว่าปีจ่ายเงิน 15,000 บาทให้กับนายหน้า เพื่อให้พาตัวไปยังกรุงเทพฯ โดยไปยืมเงินมาในอัตราดอกเบี้ย 10% ทั้งสองคนยังไม่มีโอกาสชัดเจนที่จะมีงานทำหรือมีที่อยู่อาศัย ทำให้พวกเธอเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และการปฏิบัติมิชอบ “เป็นเรื่องที่น่ากลัวและเสี่ยงภัยมาก” ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งกล่าว “เราอาจถูกส่งกลับไปเมียนมา เราอาจถูกขังคุกและอาจถูกรีดไถ” แต่เธอบอกว่ามันเป็นช่องทางเดียวที่มีอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องตกงานเพราะการตัดลดความช่วยเหลือ และจำเป็นต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่ “ในค่ายที่ดิฉันอยู่” เธอกล่าว “มันไม่มีทางออกอะไรเลย”
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นใด บางคนใช้วิธีลักขโมย ตามข้อมูลของผู้ลี้ภัย คณะกรรมการค่ายที่พักพิงบอกว่า ในเดือนกรกฎาคม แม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งมีลูกห้าคนถูกจับเพราะไปขโมยข้าวหนึ่งกระสอบจากเพื่อนบ้าน “เธอก็ไม่ได้อยากจะขโมยหรอก แต่เธอก็ไม่มีรายได้ หรือไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกอย่างไร” เขากล่าว “มันเป็นเพราะว่าเธอไม่มีทางเลือกอะไรอื่นอีก”
ผู้ประสานงานด้านการศึกษาของค่ายบอกว่า ปัจจุบันมีการส่งเด็กมากขึ้นออกไปทำงานนอกค่าย เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ส่งผลให้จำนวนเด็กที่เข้าเรียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ พ่อแม่ก็ต้องหาทางทำงานเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน และรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะส่งลูกเรียนต่อไป “พวกเขาได้เห็นแล้วว่าเด็กรุ่นก่อนหน้าซึ่งเรียนจบ แต่ก็ไม่มีงานทำ” ผู้ประสานงานด้านการศึกษากล่าว “พวกเขาคิดว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะส่งลูกไปโรงเรียน ถ้าจบมาแล้วไม่มีงานทำ”
การตัดลดงบประมาณยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงการดูแลสุขภาพของผู้ลี้ภัย ส่งผลให้International Rescue Committee ต้องปิดบริการด้านสุขภาพภายในเดือนกรกฎาคม มีการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพลงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีการระงับการส่งต่อผู้ป่วยและการขนส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ในขณะที่เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มีเหลืออยู่ไม่มาก ผู้ลี้ภัยกล่าว มีรายงานว่ากระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยสามารถใช้บริการที่โรงพยาบาลจังหวัดได้
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าเริ่มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมาไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ส่วนสถานการณ์ในค่ายก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน” ผู้ลี้ภัยซึ่งทำงานเยี่ยมผู้ป่วยด้านจิตเวชในชุมชนกล่าว
ผู้ทำงานให้ความช่วยเหลือบอกว่าปัญหาการใช้ยาเสพติดและการดื่มสุราเพิ่มขึ้น “เพราะพวกเขาไม่มีงานหรือกิจกรรมที่จะทำ คนหนุ่มสาวก็เลยหันมาใช้ยาเสพติด และเป็นผู้ติดยา แม้กระทั่งเด็กนักเรียน” เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพชุมชนกล่าว “ปัญหานี้มีมาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่มันเลวร้ายลงไปอีก”
ความหวังที่จะได้ไปถิ่นฐานในต่างประเทศก็แทบจะสูญหายไปทั้งหมด รัฐบาลทรัมป์ ยุติแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นเหตุให้ผู้ลี้ภัย 26 คนต้องกลับไปอยู่ที่ค่ายอุ้มเปี้ยมใหม่เช่นเดิม เนื่องจากมีการยกเลิกเที่ยวบินที่จะนำพวกเขาไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่นในเดือนกุมภาพันธ์ ผู้ลี้ภัยคนอื่นบอกว่า การสมัครไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียและแคนาดาของพวกเขาก็ถูกระงับเช่นกัน
ผู้ลี้ภัยหลายคนมีบัตรประจำตัวที่ลงทะเบียนกับองค์การสหประชาชาติ แต่บอกว่าบัตรเหล่านี้กลับทำให้พวกเขาถูกปฏิเสธสิทธิระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย “การมีบัตรแบบนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถไปไหนได้เลย ไม่สามารถสมัครทำงาน ไม่สามารถเรียนต่อได้” ครูซึ่งสอนหนังสือในค่ายมา 17 บอก ทั้งเขาและน้องชายได้พยายามสมัครทำงานนอกค่าย แต่ “ตอนที่ผมแสดงบัตรประจำตัวแบบนี้ พวกเขาบอกว่า ‘พวกคุณเป็นผู้ลี้ภัย!’ เราจึงไม่มีอนาคต ไม่มีโอกาส ชีวิตของเราเหมือนติดอยู่ในกับดัก”
รัฐบาลไทยควรอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยมีสิทธิทำงานนอกค่ายได้ตามกฎหมาย โดยควรมีกระบวนการที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นนโยบายซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสังคมผู้สูงวัย ควรมีการส่งเสริมแผนงานการสอนภาษาไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นโครงการนำร่องสำหรับนักเรียนอายุกว่า 18 ปีจำนวนหนึ่ง โดยควรมีการขยายโครงการเหล่านี้ให้ครอบคลุมทุกค่าย และเป็นการเปิดสอนให้กับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
สิทธิในการทำงานเป็นสิทธิที่ได้รับประกันตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ซึ่งมีผลบังคับต่อบุคคลทุกคนไม่ว่าจะมีสถานะด้านกฎหมายหรือมีเอกสารหรือไม่ รวมทั้งผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้ไร้รัฐ
ประเทศไทยควรร่วมมือกับกลุ่มซึ่งมีผู้ลี้ภัยเป็นแกนนำ หน่วยงานด้านมนุษยธรรม และ UNHCR เพื่อพัฒนาจากแม่แบบการให้ความช่วยเหลือแบบปิดในค่าย มาเป็นแนวทางที่สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ลี้ภัย สนับสนุนให้ได้รับสถานะด้านกฎหมายและเอกสาร และสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนซึ่งรองรับผู้ลี้ภัย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว
“ประเทศผู้บริจาคควรช่วยเหลือเพื่ออุดช่องว่างด้านงบประมาณของค่ายอย่างเร่งด่วน พร้อมกับควรกระตุ้นให้ประเทศไทยอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยพึ่งตนเองได้” บาวช์เนอร์กล่าว “การอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงานและเดินทางได้ จะช่วยให้พวกเขามีเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือตนเองในอนาคต และสามารถทำงานสนับสนุนการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยได้”