Skip to main content

ประเทศไทย: การตัดลดความช่วยเหลือทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา

รัฐบาลไทยควรอนุญาตให้พวกเขาทำงาน เดินทางออกนอกค่ายที่พักพิงได้

ผู้ลี้ภัยกำลังรองน้ำไปใช้ในศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยแม่หละ อำเภอแม่สอด ประเทศไทย วันที่ 5 มีนาคม 2568  © 2025 Valeria Mongelli/Anadolu via Getty Images

(กรุงเทพฯ) – ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากว่า 100,000 คนในประเทศไทย ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านอาหารและเวชภัณฑ์ เนื่องจากการตัดงบประมาณของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อพวกเขา ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ รัฐบาลไทยควรอนุญาตทันทีให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้ตามกฎหมาย และสามารถเดินทางออกนอกค่ายที่พักพิงได้ 

การตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศ ของรัฐบาลทรัมป์ รวมทั้งเงินบริจาคช่วยเหลือที่ลดลงจากแหล่งอื่น ส่งผลให้หน่วยงาน The Border Consortium ต้องยุติการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารเกือบทั้งหมด รวมทั้งการยุติการให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของ International Rescue Committee ในค่ายที่พักพิงเก้าแห่งตลอดแนวพรมแดนประเทศไทย-เมียนมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 การตัดงบประมาณตั้งแต่เดือนมกราคมก็ได้ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเสียชีวิตไปหลายรายแล้ว พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ทำงานได้ตามกฎหมาย ไม่สามารถเดินทางได้อย่างเสรี ทั้งไม่สามารถเข้าถึงบริการในประเทศไทย เป็นเหตุให้ต้องพึ่งพิงอย่างมากกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ

สภาความมั่นคงแห่งชาติของประเทศไทย เสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาความช่วยเหลือที่ลดลงในศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัย แต่กระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้ประกาศเป็นนโยบายใด ๆ

“การตัดลดงบประมาณเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ควรกระตุ้นรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่อผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา 100,000 คนในค่ายที่พักพิงตามแนวพรมแดน” Shayna Bauchner นักวิจัยภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต่างต้องการที่จะดูแลครอบครัวของตนเอง และหากรัฐบาลอนุญาตให้พวกเขาทำงานได้ จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย”

ค่ายที่พักพิงถูกสร้างขึ้นตามแนวพรมแดนประเทศไทย-เมียนมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 เพื่อรองรับผู้ที่หลบหนีมาจากการโจมตีของกองทัพเมียนมาต่อกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ในปัจจุบัน ค่ายเหล่านี้เป็นที่อยู่ของผู้ลี้ภัยกว่า 107,000 คน รวมทั้งผู้ลี้ภัยประมาณ 91,000 คนตามฐานข้อมูลของรัฐบาลไทยและ UNHCR หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ

ฮิวแมนไรท์วอทช์สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยแปดคนจากค่ายแม่หละ ซึ่งเป็นค่ายใหญ่สุดช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หกคนอาศัยอยู่ในค่ายแห่งนี้มาหลายทศวรรษแล้ว นับแต่หลบหนีมาจากภาคตะวันออกของรัฐกะเหรี่ยงในเมียนมา ส่วนอีกสองคนเกิดในค่ายผู้ลี้ภัย

ตอนที่มีการประกาศตัดงบประมาณของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกช่วงต้นปี 2568 มีการลดเงินช่วยเหลือรายเดือนลงเหลือเพียง 77 บาทต่อผู้ใหญ่หนึ่งคน หรือคิดเป็น 2.30 เหรียญสหรัฐฯ The Border Consortium เตือนเมื่อเดือนมีนาคมว่า หากไม่ได้รับเงินสนับสนุนทันที ผู้ลี้ภัยจะต้อง “เผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายและคุกคามต่อชีวิต” ในวันที่ 31 กรกฎาคม มีการตัดความช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับทุกครอบครัวทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อกว่า 80% ของครัวเรือน โดยครัวเรือนที่มี “ความเปราะบาง” และ “ความเปราะบางมากสุด” จะยังคงได้รับความช่วยเหลือต่อไปแบบจำกัด

“ในอดีต พวกเราได้รับความช่วยเหลือมากเพียงพอ” ผู้ลี้ภัยอายุ 34 ปีกล่าว “แต่ต่อมามีการตัดเงินช่วยเหลือทีละน้อย ในขณะที่เงินช่วยเหลือลดลง แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แม้จะได้เงิน 77 บาทต่อเดือน แต่ก็แทบไม่พอที่จะซื้ออะไรได้เลย”

ระหว่างปี 2565 ถึง 2567 ภาวะทุพโภชนาการเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบในค่าย เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในอย่างน้อยในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

ผู้ลี้ภัยทุกคนที่ให้ข้อมูลกับฮิวแมนไรท์วอทช์บอกว่า ถ้าได้รับอนุญาต พวกเขาก็อยากไปทำงานนอกค่าย การห้ามไม่ให้พวกเขาทำงานได้ตามกฎหมาย นอกจากเป็นการขัดขวางไม่ให้เขาแสวงหารายได้ ยังเป็นการปฏิเสธศักดิ์ศรีและปิดกั้นการพึ่งตนเองของพวกเขา

“เรารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกขังอยู่ในบ้าน” ผู้ลี้ภัยอายุ 34 ปีกล่าว “ถ้ารัฐบาลไทยอนุญาตให้เราออกไปทำงานได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกคน เราก็จะสามารถหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”

ผู้ลี้ภัยบางคนหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการรับจ้างทำงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งก็ถูกตัดงบประมาณเช่นกัน ส่วนคนอื่นต้องหาทางออกไปทำงานนอกค่าย เป็นแรงงานนอกระบบรายวัน ทำงานเก็บเกี่ยวข้าวโพดหรือข้าว และเสี่ยงที่จะถูกจับกุม ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งบอกว่า เจ้าหน้าที่ไทยสั่งปรับเขาเป็นเงิน 500 ถึง 1,000 บาทหากถูกพบว่าออกไปนอกค่าย แต่ปัจจุบันเนื่องจากมี พลเมืองชาวเมียนมาจำนวนมากที่เดินทางเข้าสู่ ประเทศไทย จึงมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าผู้ลี้ภัยจะถูกควบคุมตัว ถูกรีดไถ หรือถูกเนรเทศ หากพบว่าเดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาต

นับแต่การทำรัฐประหารปี 2564 ในเมียนมา ประชากรในค่ายที่พักพิงเพิ่มขึ้น 35% ความทารุณโหดร้ายของกองทัพบีบบังคับให้ประชาชนกว่าหนึ่งล้านคนหลบหนีเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน การโจมตีทางอากาศและ การใช้ทุ่นระเบิดของกองทัพเมียนมายังคงเป็นภัยคุกคามต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พรมแดน ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยและไม่สามารถเดินทางกลับไปได้

“เพราะว่าเราเกิดที่นี่ [ในประเทศไทย] เราเคยคิดเหมือนกันว่านี่เป็นประเทศของเรา เราเป็นคนของที่นี่” ผู้ลี้ภัยวัย 37 ปีกล่าว “แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น และได้รู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศของเรา แต่ในเมียนมา พวกเราก็ไม่รู้จะกลับไปที่ไหนเช่นกัน”

การตัดลดความช่วยเหลือส่งผลให้ประชาชนต้องใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาตัวรอดมากขึ้น รวมทั้งการอพยพที่เสี่ยงภัยอย่างมาก ผู้หญิงสองคนซึ่งมีอายุราว 20 กว่าปีจ่ายเงิน 15,000 บาทให้กับนายหน้า เพื่อให้พาตัวไปยังกรุงเทพฯ โดยไปยืมเงินมาในอัตราดอกเบี้ย 10% ทั้งสองคนยังไม่มีโอกาสชัดเจนที่จะมีงานทำหรือมีที่อยู่อาศัย ทำให้พวกเธอเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และการปฏิบัติมิชอบ “เป็นเรื่องที่น่ากลัวและเสี่ยงภัยมาก” ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งกล่าว “เราอาจถูกส่งกลับไปเมียนมา เราอาจถูกขังคุกและอาจถูกรีดไถ” แต่เธอบอกว่ามันเป็นช่องทางเดียวที่มีอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องตกงานเพราะการตัดลดความช่วยเหลือ และจำเป็นต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่ “ในค่ายที่ดิฉันอยู่” เธอกล่าว “มันไม่มีทางออกอะไรเลย”

เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นใด บางคนใช้วิธีลักขโมย ตามข้อมูลของผู้ลี้ภัย คณะกรรมการค่ายที่พักพิงบอกว่า ในเดือนกรกฎาคม แม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งมีลูกห้าคนถูกจับเพราะไปขโมยข้าวหนึ่งกระสอบจากเพื่อนบ้าน “เธอก็ไม่ได้อยากจะขโมยหรอก แต่เธอก็ไม่มีรายได้ หรือไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกอย่างไร” เขากล่าว “มันเป็นเพราะว่าเธอไม่มีทางเลือกอะไรอื่นอีก”

ผู้ประสานงานด้านการศึกษาของค่ายบอกว่า ปัจจุบันมีการส่งเด็กมากขึ้นออกไปทำงานนอกค่าย เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ส่งผลให้จำนวนเด็กที่เข้าเรียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ พ่อแม่ก็ต้องหาทางทำงานเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน และรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะส่งลูกเรียนต่อไป “พวกเขาได้เห็นแล้วว่าเด็กรุ่นก่อนหน้าซึ่งเรียนจบ แต่ก็ไม่มีงานทำ” ผู้ประสานงานด้านการศึกษากล่าว “พวกเขาคิดว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะส่งลูกไปโรงเรียน ถ้าจบมาแล้วไม่มีงานทำ”

การตัดลดงบประมาณยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงการดูแลสุขภาพของผู้ลี้ภัย ส่งผลให้International Rescue Committee ต้องปิดบริการด้านสุขภาพภายในเดือนกรกฎาคม มีการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพลงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีการระงับการส่งต่อผู้ป่วยและการขนส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ในขณะที่เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มีเหลืออยู่ไม่มาก ผู้ลี้ภัยกล่าว มีรายงานว่ากระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยสามารถใช้บริการที่โรงพยาบาลจังหวัดได้

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าเริ่มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมาไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ส่วนสถานการณ์ในค่ายก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน” ผู้ลี้ภัยซึ่งทำงานเยี่ยมผู้ป่วยด้านจิตเวชในชุมชนกล่าว

ผู้ทำงานให้ความช่วยเหลือบอกว่าปัญหาการใช้ยาเสพติดและการดื่มสุราเพิ่มขึ้น “เพราะพวกเขาไม่มีงานหรือกิจกรรมที่จะทำ คนหนุ่มสาวก็เลยหันมาใช้ยาเสพติด และเป็นผู้ติดยา แม้กระทั่งเด็กนักเรียน” เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพชุมชนกล่าว “ปัญหานี้มีมาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่มันเลวร้ายลงไปอีก”

ความหวังที่จะได้ไปถิ่นฐานในต่างประเทศก็แทบจะสูญหายไปทั้งหมด รัฐบาลทรัมป์ ยุติแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นเหตุให้ผู้ลี้ภัย 26 คนต้องกลับไปอยู่ที่ค่ายอุ้มเปี้ยมใหม่เช่นเดิม เนื่องจากมีการยกเลิกเที่ยวบินที่จะนำพวกเขาไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่นในเดือนกุมภาพันธ์ ผู้ลี้ภัยคนอื่นบอกว่า การสมัครไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียและแคนาดาของพวกเขาก็ถูกระงับเช่นกัน

ผู้ลี้ภัยหลายคนมีบัตรประจำตัวที่ลงทะเบียนกับองค์การสหประชาชาติ แต่บอกว่าบัตรเหล่านี้กลับทำให้พวกเขาถูกปฏิเสธสิทธิระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย “การมีบัตรแบบนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถไปไหนได้เลย ไม่สามารถสมัครทำงาน ไม่สามารถเรียนต่อได้” ครูซึ่งสอนหนังสือในค่ายมา 17 บอก ทั้งเขาและน้องชายได้พยายามสมัครทำงานนอกค่าย แต่ “ตอนที่ผมแสดงบัตรประจำตัวแบบนี้ พวกเขาบอกว่า ‘พวกคุณเป็นผู้ลี้ภัย!’ เราจึงไม่มีอนาคต ไม่มีโอกาส ชีวิตของเราเหมือนติดอยู่ในกับดัก”

รัฐบาลไทยควรอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยมีสิทธิทำงานนอกค่ายได้ตามกฎหมาย โดยควรมีกระบวนการที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นนโยบายซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสังคมผู้สูงวัย ควรมีการส่งเสริมแผนงานการสอนภาษาไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นโครงการนำร่องสำหรับนักเรียนอายุกว่า 18 ปีจำนวนหนึ่ง โดยควรมีการขยายโครงการเหล่านี้ให้ครอบคลุมทุกค่าย และเป็นการเปิดสอนให้กับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

สิทธิในการทำงานเป็นสิทธิที่ได้รับประกันตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ซึ่งมีผลบังคับต่อบุคคลทุกคนไม่ว่าจะมีสถานะด้านกฎหมายหรือมีเอกสารหรือไม่ รวมทั้งผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้ไร้รัฐ

ประเทศไทยควรร่วมมือกับกลุ่มซึ่งมีผู้ลี้ภัยเป็นแกนนำ หน่วยงานด้านมนุษยธรรม และ UNHCR เพื่อพัฒนาจากแม่แบบการให้ความช่วยเหลือแบบปิดในค่าย มาเป็นแนวทางที่สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ลี้ภัย สนับสนุนให้ได้รับสถานะด้านกฎหมายและเอกสาร และสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนซึ่งรองรับผู้ลี้ภัย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

“ประเทศผู้บริจาคควรช่วยเหลือเพื่ออุดช่องว่างด้านงบประมาณของค่ายอย่างเร่งด่วน พร้อมกับควรกระตุ้นให้ประเทศไทยอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยพึ่งตนเองได้” บาวช์เนอร์กล่าว “การอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงานและเดินทางได้ จะช่วยให้พวกเขามีเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือตนเองในอนาคต และสามารถทำงานสนับสนุนการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยได้”

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.
Tags