Skip to main content

ประเทศไทย: มีการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปเมียนมาเมื่อเร็ว ๆ นี้

การผลักดันเช่นนี้ทำให้เกิดอันตรายต่อบุคคลที่หลบหนีมาจากการโจมตีทางอากาศในรัฐกะเหรี่ยง

Myanmar refugees return to Thailand after Myanmar military airstrikes in Karenni State, November 16, 2023.  © 2023 Private

(กรุงเทพฯ) – รัฐบาลไทย ได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาหลายพันคนบริเวณพรมแดน ทำให้พวกเขาต้องกลับไปเสี่ยงภัยในเมียนมา ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 กองทัพไทยเริ่มผลักดันกลับผู้ลี้ภัย ซึ่งอาศัยในที่พักพิงชั่วคราวบริเวณพรมแดน ไปยังรัฐกะเหรี่ยงในเมียนมา แต่หลายคนก็รีบเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะติดอยู่ในกับดักหรือ ตกเป็นเป้าหมายของการปะทะกันอีกครั้งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา

“ทางการไทยควรยุติการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากลับไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และอนุญาตให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองในประเทศไทย” อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “การที่ผู้ลี้ภัยจำนวนมากเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทยในเวลาไม่กี่วัน หลังจากถูกผลักดันกลับไป แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความกังวลต่อความปลอดภัยของตนเองในเมียนมา”

ประเทศไทยให้ที่พักพิงกับผู้ลี้ภัยจากเมียนมาประมาณ 90,000 คนในค่ายผู้อพยพเก้าแห่ง นับแต่กลางทศวรรษ 1980 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในเมียนมา ส่งผลให้ ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาอีก 45,000 คน หลบหนีเข้าสู่ประเทศไทย แม้รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้ผู้อพยพมาใหม่เหล่านี้ อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวอย่างไม่เป็นทางการใกล้กับพรมแดน แต่ก็ยังมี การผลักดันให้พวกเขากลับไปเป็นครั้งคราว ผู้อพยพมาใหม่เหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้อพยพที่มีอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ไทยจะควบคุมการเดินทางของพวกเขา และการเข้าถึง ความช่วยเหลือและบริการด้านมนุษยธรรม อย่างเข้มงวด

ในเดือนกรกฎาคม ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาประมาณ 9,000 คนได้เดินทางเข้ามาแสวงหาความปลอดภัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอนในประเทศไทย เนื่องจาก การโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งในรัฐกะเหรี่ยง ในเบื้องต้นทางการไทยอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวอย่างไม่เป็นทางการ

ในวันที่ 21 ตุลาคม กองทัพไทยสั่งการด้วยวาจาให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เดินทางกลับไปเมียนมาภายในสองสัปดาห์ ผลจากคำสั่งดังกล่าวทำให้ที่พักพิงเหล่านี้ถูกทิ้งร้าง ประชาชนพากันเดินข้ามพรมแดนกลับไปสู่รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นการเดินทางที่ใช้เวลา 4-5 วัน หลายคนเดินทางกลับไปที่ค่ายผู้อพยพโดนอกู ซึ่งเป็นที่พักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นในประเทศ

การผลักดันกลับยังคงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ในช่วงที่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และฝ่ายต่อต้านที่เป็นพันธมิตรกัน ได้ ปฏิบัติการโจมตี กองทัพเมียนมาในตอนเหนือของรัฐฉาน กองกำลังฝ่ายต่อต้านกลุ่มอื่น ๆ ในเมียนมายังได้ปฏิบัติการโจมตีต่อกองทัพ ส่งผลให้กองทัพตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศ รวมทั้งในรัฐกะเหรี่ยง

จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน ชาวเมียนมากว่า 2,387 คนได้เริ่มหลบหนีจากเมียนมา กลับเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยอีกครั้ง

คนที่เพิ่งหลบหนีกลับมายังที่พักพิงชั่วคราวในจังหวัดแม่ฮ่องสอนระบุว่า เครื่องบินของกองทัพเมียนมาได้บินเหนือค่ายผู้อพยพโดนอกู ก่อนจะเริ่มการโจมตีทางอากาศในวันที่ 14 และ 15 พฤศจิกายน พวกเขาบอกว่ามีการทิ้งระเบิดอย่างน้อยสามลูกใส่ในค่ายผู้อพยพ แต่ในตอนนั้นคนส่วนใหญ่ได้หลบหนีออกไปแล้ว

“ตอนนั้นดิฉันเพิ่งเดินทางไปถึงด้านนอกค่ายโดนอกู หลังต้องเดินเป็นเวลาห้าวันพร้อมกับครอบครัวมาจากที่นี่ [ในประเทศไทย]” ผู้หญิงอายุ 52 ปีกล่าว “เราไม่ได้เดินทางเข้าไปในค่าย แต่เรามองเห็นเครื่องบินตั้งแต่อยู่ไกล ๆ ตอนที่พวกเขาเริ่มทิ้งระเบิด เราจึงวิ่งหนีทันที....ดิฉันหวาดกลัวมาก ในตอนนี้ดิฉันกลัวแม้แต่เสียงฟ้าร้อง”  

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า กองทัพไทยยืนยันว่าผู้ลี้ภัยที่เข้ามาใหม่นี้ ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากว่าสามเดือนแล้ว ทั้งที่พวกเขาควรอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพียงชั่วคราว เจ้าหน้าที่ยังระบุว่า ที่ผ่านมาไม่มีการปะทะกันด้วยอาวุธบริเวณพรมแดน คนเหล่านี้จึงควรเดินทางกลับไปเมียนมา ประการสุดท้าย ทางการไทยอ้างว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้เข้ามาใช้บริการที่มีอยู่น้อย ซึ่งควรจัดให้กับผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายผู้อพยพเดิม

การถูกบังคับให้ต้องพลัดถิ่นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก และการขาดความมั่นคงและการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ทำให้เกิดปัญหาความขาดแคลนที่เลวร้ายลงสำหรับชุมชนที่อยู่ชายขอบอยู่แล้วเหล่านี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

“ดิฉันหลบหนีมาแล้วอย่างน้อยเจ็ดครั้ง ตั้งแต่เริ่มหลบหนีจากบ้านเมื่อต้นปี เพราะการโจมตีทางอากาศ” ผู้หญิงอายุ 45 ปีกล่าว “พวกเราหลบหนีไปยังที่หนึ่งซึ่งคิดว่าปลอดภัย แต่แล้วก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัย”

นับแต่เกิดการทำรัฐประหารปี 2564 รัฐบาลทหารเมียนมาได้เริ่ม ปฏิบัติการโจมตีทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดการสังหารคนจำนวนมาก การทรมาน การจับกุมโดยพลการ และการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ประชาชนกว่าสองล้านคน ต้องตกเป็นผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศ และ ผู้ลี้ภัยกว่า 95,000 คน ต้องหลบหนีมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

ประเทศไทยควรสนับสนุนให้มีการส่งความช่วยเหลือข้ามพรมแดนให้กับผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศเมียนมา และสนับสนุนให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากขึ้น ให้กับผู้ลี้ภัยในที่พักพิงชั่วคราวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และพื้นที่อื่น ๆ ตามแนวพรมแดน ประเทศไทยยังควรให้ความคุ้มครองและความสนับสนุนกับผู้ลี้ภัยทุกคน รวมทั้งการอนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ทำการจำแนกสถานะของผู้ลี้ภัย

การผลักดันบุคคลกลับจำนวนมาก ด้วยวิธีการบังคับขืนใจหรือวิธีการอื่น อาจทำให้ประเทศไทยละเมิดต่อ พันธกรณี ในฐานะเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และเป็นการละเมิดต่อหลักการตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งห้ามการส่งกลับ หรือการบังคับให้บุคคลกลับไปยังสถานที่ใด ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่า จะต้องเผชิญกับการประหัตประหาร การทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย หรือภัยคุกคามต่อชีวิต

“รัฐบาลไทยควรอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาใหม่ สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และช่วยให้พวกเขาแสวงหาความคุ้มครองได้” เพียร์สันกล่าว “ทางการไทยไม่ควรผลักดันผู้ลี้ภัยให้ไปเผชิญกับอันตรายร้ายแรงในเมียนมา”

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.