Skip to main content

ประเทศไทย/กัมพูชา: คุ้มครองพลเรือนท่ามกลางการปะทะกันที่ชายแดน

สหประชาชาติ และรัฐบาลที่มีความกังวลควรเรียกร้องให้เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ

Cambodians who fled Thai-Cambodian border clashes line up to receive assistance in Oddar Meanchey province, Cambodia, July 25, 2025. © 2025 Heng Sinith/AP Photo

(กรุงเทพฯ) – ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า การปะทะกันระหว่างประเทศไทย และกัมพูชาที่กำลังขยายตัวขึ้นบริเวณชายแดนมีการใช้อาวุธระเบิด (Explosive Weapon) ทำให้พลเรือนเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนมายาวนาน แต่ไม่ได้มีการใช้กำลังทหารต่อกันอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2554  

กัมพูชา และประเทศไทยกล่าวหาซึ่งกันและกันว่า อีกฝ่ายเริ่มการสู้รบ กองบัญชาการกองทัพไทยออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ระบุว่า การปะทะกันเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 8:20 นาฬิกา ที่บริเวณที่ตั้งของทหารไทยใกล้กับพื้นที่พิพาทปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์  

คณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติ และรัฐบาลที่มีความกังวลควรกดดันให้รัฐบาลไทย และกัมพูชาปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อคุ้มครองพลเรือนที่ถูกคุกคามจากการสู้รบ 

จอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า “ภายในสองวันของการสู้รบ การปะทะกันตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยได้ทำให้พลเรือน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ โรงพยาบาล ตลอดจนสถานที่ทางศาสนา และวัฒนธรรมถูกทำลาย” “ทางการไทย และกัมพูชาควรดำเนินมาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองพลเรือน และสถานที่ของพลเรือนตามข้อกำหนดของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ.”

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยแถลงว่า พลเรือน 14 คนเสียชีวิต รวมทั้งเด็กอายุ 15 ปี และ 8 ปี และมีพลเรือนอีก 31 คนได้รับบาดเจ็บจากการที่กัมพูชาโจมตีด้วยจรวด และปืนใหญ่ใส่โรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ และบ้านเรือน โดยกัมพูชา ซึ่งเสียชีวิต ทางการไทยได้อพยพประชาชนกว่า 100,000 คนออกจากพื้นที่ชายแดน รวมทั้งปิดโรงเรียน 852 แห่ง และโรงพยาบาล 7 แห่ง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย 

รัฐบาลกัมพูชายังไม่เปิดเผยข้อมูลความสูญเสีย อย่างไรก็ตาม โฆษกจังหวัดอุดรมีชัย กล่าวว่า พลเรือนเสียชีวิต 1 คน และอีก 5 คนได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบในพื้นที่  

ฮิวแมนไรท์วอทช์ตรวจสอบพิกัดทางภูมิภาพของภาพถ่ายจากโดรนที่ถูกนำมาโพสต์บนโซเชียลมีเดีย แสดงความเสียหายของวัด ในคอมมูนกกมอน จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเจ้าหน้าที่กัมพูชาในท้องถิ่นบอกสื่อมวลชนว่า มีชาย 1 คนเสียชีวิตจากจรวดของไทยที่ยิงใส่วัดแห่งนี้

การสู้รบขยายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม และลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ในฝั่งประเทศไทย และจังหวัดพระวิหาร และอุดรมีชัยในฝั่งกัมพูชา โดยขณะที่กองกำลังของกัมพูชาโจมตีด้วยจรวด และปืนใหญ่ กองทัพไทยใช้เครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ-16 และโดรนโจมตีทางอากาศ ควบคู่กับการโจมตีด้วยจรวด และปืนใหญ่ 

หน่วยงานของรับบาลกัมพูชากล่าวหาว่า การโจมตีทางอากาศ และการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของกองทัพไทย สร้างความเสียหายต่อปราสาทพระวิหารในกัมพูชา ซึ่งยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก นอกจากนี้ยังอ้างว่า ประเทศไทยใช้ระเบิดพวง (Cluster Munition) ซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามตามกติการะหว่างประเทศ ตอนแรกกองบัญชาการกองทัพไทยปฏิเสธคำกล่าวหาเหล่านี้ แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม กองทัพบกออกแถลงการณ์ ซึ่งโฆษกกองทัพไทยชี้แจงว่า กองทัพไทยใช้ระเบิดพวงเท่าที่จำเป็นต่อเป้าหมายทางทหาร โดยยึดหลักกฎหมายเกี่ยวกับความได้สัดส่วนของการใช้กำลัง 

ถึงแม้ประเทศไทย และกัมพูชาไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง ซึ่งห้ามการใช้อาวุธประเภทนี้ในทุกกรณี แต่ฮิวแมนไรท์วอทช์ถือว่า การใช้ระเบิดพวงในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นการโจมตีอย่างไม่แยกแยะ ซึ่งผิดกฎหมาย ประเทศไทยเคยใช้ระเบิดพวงระหว่างเหตุการณ์พิพาทบริเวณชายแดนกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2554  

ฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้ประเทศไทย และกัมพูชาอย่าใช้ระเบิดพวง และขอให้ทั้งสองประเทศให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง ซึ่งปัจจุบันมี 111 ประเทศเป็นภาคี 

กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือกฎหมายสงคราม ใช้ได้ในกรณีการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ (International Armed Conflict) ระหว่างกัมพูชา และประเทศไทย กฎหมายสงครามมีพันธะผูกพันคู่ขัดแย้งให้ต้องแยกแยะระหว่างพลรบ และพลเรือนตลอดเวลา พลเรือนจะต้องไม่ตกเป็นเป้าหมายโดยจงใจของการโจมตี คู่ขัดแย้งต้องให้ความระมัดระวังทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อบรรเทาอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน และวัตถุของพลเรือน  

การโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่พลเรือน ไม่แยกแยะระหว่างพลรบกับพลเรือน หรือเชื่อได้ว่าจะก่ออันตรายอย่างไม่ได้สัดส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับผลที่จะได้รับทางทหาร ถือเป็นการกระทำที่ต้องห้าม  

การใช้อาวุธระเบิดที่ส่งกระทบในวงกว้างต่อพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อพลเรือน เนื่องจากความไม่แม่นยำของอาวุธประเภทนี้ รวมทั้งรัศมีแรงระเบิดที่กว้าง และยิงได้รัวๆ จากหลายลำกล้องพร้อมกัน ดังนั้น เมื่อนำมาใช้โจมตีหมู่บ้าน และเมือง อาวุธระเบิดจึงก่อให้เกิดอันตรายอย่างทันทีต่อพลเรือน และสิ่งปลูกสร้างของพลเรือน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบระยะยาวในแง่ความเสียหายต่ออาคาร และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สถานพยาบาล และสถานศึกษา  

อาวุธระเบิดยังทำให้เกิดการพลัดถิ่นที่อยู่ของประชากรวมทั้งสร้างความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม กัมพูชา และประเทศไทยรับรองคำประกาศทางการเมือง ปี 2565 แสดงความผูกมัดต่อการกำหนด และปฏิบัติตามนโยบายที่จะช่วยระบุ และหลีกเลี่ยงอันตรายต่อพลเรือน ซึ่งรวมถึงการจำกัด หรือหลีกเลี่ยงที่จะใช้อาวุธระเบิดในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ 

เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม และ 23 กรกฎาคม ซึ่งทหารได้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขณะลาดตระเวนในบริเวณพื้นที่พิพาทชายแดนกัมพูชา หลังจากเหตุการณ์ครั้งแรก ประเทศไทยกล่าวหาว่า กองกำลังของกัมพูชาเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ในเขตแดนไทย กัมพูชาปฏิเสธคำกล่าวหานี้ 

ประเทศไทย และกัมพูชาให้สัตยาบันอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ปี 2520 ซึ่งห้ามการผลิต ถ่ายโอน สะสม หรือใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รัฐภาคีมีพันธกรณีที่ต้องดำเนินมาตรการป้องกัน และปราบปรามการละเมิดอนุสัญญานี้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินคดี และลงโทษผู้ที่ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนของตน กัมพูชา และประเทศไทยควรดำเนินการร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งเอกอัครราชทูตด้านการลดอาวุธ โทมิโกะ อิชิกาวา ที่กรุงเจนีวา เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบันของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด เพื่อที่จะให้เกิดมาตรการความร่วมมือในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญา (Cooperative Compliance)

คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติตอบสนองต่อคำร้องขอของกัมพูชา โดยเรียกประชุมฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับการปะทะกันที่ชายแดนประเทศไทย และกัมพูชา 

ซิฟตัน กล่าวว่า “ทั้งประเทศไทย และกัมพูชาไม่มีท่าทีว่าจะให้ความสนใจกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ นำไปสู่ความสูญเสียอย่างมากของพลเรือน” “ความพยายามทางการทูตที่กำลังดำเนินอยู่ควรให้ความสำคัญกับการคุ้มครองพลเรือน และสิ่งปลูกสร้างของพลเรือน”

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.