Skip to main content

ประเทศไทย: ข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างทำลายความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง

วุฒิสภาจากการแต่งตั้ง การจำกัดเสรีภาพสื่อ กฎหมายเผด็จการ คุกคามสิทธิในการออกเสียง

Thailand's Prime Minister Prayuth Chan-ocha speaks during a press conference about the government's achievements at Government House in Bangkok, Thailand, Friday, Feb. 1, 2019. © 2019 AP Photo/Sakchai Lalit

(นิวยอร์ก) –รัฐบาลทหาร ไทย ไม่สามารถสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การเลือกตั้งระดับชาติที่เสรีและเป็นธรรมในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ได้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งอนุญาตให้วุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารสามารถออกเสียงได้ เท่ากับครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง คุกคามอย่างรุนแรงต่อสิทธิของพลเมืองไทยในการเลือกผู้นำของตนเอง

“นับแต่รัฐประหารปี 2557 รัฐบาลทหารไทยให้สัญญาหลายครั้งที่จะฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย แต่นายพลทหารยังคงจัดการเลือกตั้งอย่างมีเงื่อนไข เพื่อประกันการสืบทอดอำนาจของกองทัพที่เปลี่ยนจากชุดทหารมาใส่สูท” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลทหารยังคงใช้กฎหมายเผด็จการ สั่งยุบพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ ใช้อำนาจควบคุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง และยังเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งวุฒิสภา ซึ่งมีอำนาจมาก และสามารถขัดขวางการแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนคนไทยได้”

ปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งของไทยประกอบด้วย:

  • กฎหมายเผด็จการที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุม
  • การเซ็นเซอร์สื่อ
  • การเข้าถึงสื่อที่ไม่เท่าเทียมกันของบรรดาพรรคการเมือง
  • วุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารมีอำนาจเกินกว่าที่ควรจะเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และ
  • คณะกรรมการการเลือกตั้งขาดความเป็นอิสระและความไม่ลำเอียง ส่งผลให้มีการยุบพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ

ข้อ 25 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคีระบุว่า “พลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิและโอกาส… ในการที่จะออกเสียงหรือได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งอันแท้จริงตามวาระ ซึ่งมีการออกเสียงโดยทั่วไปและเสมอภาค และโดยการลงคะแนนลับเพื่อประกันการแสดงเจตนาโดยเสรีของผู้เลือก” คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติซึ่งทำหน้าที่ตีความกติกา ICCPR ระบุในความเห็นทั่วไปต่อข้อ 25 ว่า:

  • “กรณีที่พลเมืองมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการสาธารณะ โดยผ่านตัวแทนที่เลือกเข้ามาอย่างเสรี ข้อ 25 ระบุเป็นนัยว่า ตัวแทนเหล่านี้เป็นผู้ใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร และพวกเขาต้องถูกตรวจสอบในแง่การใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง”
  • “เสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น เพื่อให้สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเป็นผล และต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่”
  • “ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เพื่อกำกับดูแลกระบวนการเลือกตั้ง และประกันว่าคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม ไม่ลำเอียง และสอดคล้องกับกฎหมายที่มีเนื้อหาไม่ขัดแย้งกับกติกานี้”
  • “เพื่อประกันให้มีการใช้สิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามข้อ 25 อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลและแนวคิดอย่างเสรี ในประเด็นสาธารณะและประเด็นทางการเมือง ระหว่างพลเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหมายถึงว่าจำเป็นต้องมีสื่อเสรี และสื่ออื่น ๆ ที่สามารถแสดงความเห็นในประเด็นสาธารณะได้ โดยไม่ถูกเซ็นเซอร์หรือถูกจำกัดเสรีภาพ และสามารถเผยแพร่ความเห็นของสาธารณะได้”

“รัฐบาลต่างชาติที่สนับสนุนให้มีการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ควรประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะรับรองการเลือกตั้งที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศเท่านั้น” อดัมส์กล่าว “การเลือกตั้งของไทยย่อมไม่อาจถือว่าน่าเชื่อถือ หากมีการจำกัดเสรีภาพสื่อ และห้ามการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร รัฐบาลทหารควรตระหนักว่า การเลือกตั้งที่เป็นเพียงพิธีกรรม ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะตามแผนที่วางไว้แล้วสำหรับระบอบปกครองของทหาร จะถูกมองว่าเป็นประชาธิปไตยแบบจำแลงเท่านั้นเอง”  

ข้อกังวลเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง
การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการออกเสียง

นับแต่รัฐประหารปี 2557 รัฐบาลทหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจอย่างกว้างขวางและโดยพลการเพื่อตีความว่า การวิพากษ์วิจารณ์อย่างสงบและการแสดงความเห็นต่างเป็นความผิดอาญาเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เป็นการยุยงปลุกปั่น และคุกคามความมั่นคงของรัฐ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2561 รัฐบาลทหารยกเลิกข้อห้ามต่อการชุมนุมสาธารณะและการจัดกิจกรรมทางการเมือง เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสามารถรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ดี ทางการยังคงบังคับใช้คำสั่งของทหารซึ่งจำกัดการแสดงออก อย่างรุนแรง และสั่งให้มีการดำเนินคดีอาญากับผู้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร ทั้งในส่วนของนโยบายและการปฏิบัติหน้าที่ และการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

ประกาศคสช. ฉบับที่ 97/2557 ห้าม “การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของคสช.” และการเผยแพร่ “ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร” ประกาศฉบับนี้ยังบังคับให้สำนักข่าวทุกแห่งต้องเผยแพร่ข้อมูลจากรัฐบาลทหาร

ประกาศคสช. ฉบับที่ 103/2557 ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ กรณีที่เป็นข้อมูลซึ่งทางการเห็นว่า “บิดเบือน และ (สร้าง) ความเข้าใจผิด อันจะส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม” ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กลายเป็นเครื่องมือการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลทหาร ซึ่งมีอำนาจอย่างกว้างขวางและไม่อาจตรวจสอบได้ สามารถสั่งพักการออกอากาศของรายการโทรทัศน์และวิทยุได้ หากทางการเห็นว่าเนื้อหาของรายการมีลักษณะบิดเบือน สร้างความแตกแยก หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ

ในวันที่ 1 มีนาคม อรวรรณ ชูดี ผู้ประกาศข่าวคนสำคัญของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. เขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า เธอถูกปลดจากการทำหน้าที่พิธีกรรายการ “รายการดีเบตเลือกตั้ง 2562” ที่มีคนดูจำนวนมาก และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ที่อยู่ใต้การควบคุมของรัฐ อรวรรณถูกกล่าวหาว่ามีอคติทางการเมือง จากการจัดให้นักศึกษา 100 คนจากมหาวิทยาลัย 16 แห่ง มาที่ห้องออกอากาศ ทุกคนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก และมีการสอบถามนักศึกษาเหล่านั้นว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะไม่ร่วมรายการดีเบทกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ และยังได้ขอความเห็นเกี่ยวกับบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งอนุญาตให้วุฒิสมาชิก 250 คนสามารถออกเสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ มีการสอบถามว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของคสช.จำเป็นต่อประเทศไทยหรือไม่ และสอบถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าประเทศไทยจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยเต็มใบหรือครึ่งใบก็ได้ ถ้าทำให้ปากท้องประชาชนดีขึ้น แม้ว่าคณะกรรมการอสมท.ซึ่งอยู่ใต้การกำกับดูแลโดยตรงของสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งปลดคุณอรวรรณ แต่เธอก็ไม่ได้กลับมาจัดรายการอีกเลย

ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง สื่อโทรทัศน์ระหว่างประเทศที่รายงานข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยต้องเผชิญกับการเซ็นเซอร์เช่นกัน ทรูวิชั่นส์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีหลัก ได้เซ็นเซอร์การออกอากาศสำนักข่าวใหญ่ รวมทั้ง BBC, CNN, Al Jazeera, Bloomberg และ Australia Network ระหว่างวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ และ 7 และ 8 มีนาคม โดยระหว่างเซ็นเซอร์จะขึ้นภาพบนจอที่เขียนว่า “จะมีการออกอากาศอีกไม่นานหลังจากนี้” (“Programming will return shortly”) ซึ่งทางทรูวิชั่นส์และทางการไทยไม่ได้แจ้งต่อสำนักข่าวเหล่านั้นอย่างเป็นทางการว่า เหตุใดจึงมีการเซ็นเซอร์

รัฐบาลทหารมักปฏิบัติต่อผู้แสดงความคิดและความเห็นต่างจากรัฐบาล หรือผู้แสดงความสนับสนุนต่อนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ถูกโค่นจากตำแหน่ง ราวกับเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐ มีการจับกุมและดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี 

ทางการได้ดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญหลายคน โดยตั้งข้อหาอาญาที่ร้ายแรงจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบปกครองของทหาร ตัวอย่างเช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ถูกดำเนินคดี ฐานละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในเดือนสิงหาคม 2561 จากการแสดงความเห็นระหว่างการเฟซบุ๊กไลฟ์วิพากษ์วิจารณ์การใช้พรรคพลังประชารัฐของรัฐบาลทหารเพื่อสืบทอดอำนาจ

รัฐบาลได้ดำเนินคดีต่อพิชัย นริพทะพันธุ์ วัฒนา เมืองสุข และแกนนำคนอื่นของพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง ในข้อหายุยงปลุกปั่นและความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยภายใต้ระบอบทหาร ในเดือนธันวาคม รัฐบาลทหารดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต่อพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งให้สัมภาษณ์สื่อวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามในการสืบทอดอำนาจของกองทัพภายหลังการเลือกตั้ง

ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านถูกจำกัดเสรีภาพนานัปการ ในแง่การใช้สื่อเพื่อรณรงค์หาเสียง แต่ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี กลับสามารถเข้าถึงสื่อของรัฐอย่างไม่มีขีดจำกัด เพื่อรณรงค์หาเสียง โดยประยุทธ์มีโอกาสออกรายการโทรทัศน์และวิทยุ ทั้งรายการทุกคืนวันศุกร์ที่เป็นการบังคับให้โทรทัศน์ต้องเผยแพร่ ในขณะที่แกนนำพรรคการเมืองอื่นไม่มีสิทธิเช่นนั้น

แม้ว่าการออกเสียงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของไทย แต่นักบวชในพุทธศาสนาและผู้ต้องขังในคดีอาญา ซึ่งแม้ยังไม่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด ต่างถูกปฏิเสธไม่ให้มีสิทธิในการออกเสียง ซึ่งเป็นการละเมิดพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประกันสิทธิในการเลือกตั้งอย่างเท่าเทียม

คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ไม่เป็นอิสระและลำเอียง

คณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและไม่ลำเอียง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว อย่างไรก็ดี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสดงอคติอย่างรุนแรงต่อผู้สมัครและพรรคการเมืองในฝ่ายที่ตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร

ภายหลังจากพรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเชษฐภคินี เป็นนายกรัฐมนตรี กกต.ได้ประกาศว่าพระองค์ ขาดคุณสมบัติ และกล่าวหาว่าพรรคละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยกระทำการที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข จากนั้นกกต.ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในวันที่ 7 มีนาคม ได้อ้าง “ประเพณีการปกครอง” และมี คำวินิจฉัยเพื่อสั่งให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ  

ศาลยังสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 14 คน ส่งผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่สามารถจัดตั้งพรรคการเมือง หรือไม่สามารถเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองได้เป็นเวลา 10 ปี ในทางกฎหมายแล้ว ผลจากคำสั่งยุบพรรคยังเป็นเหตุให้ ผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติทุกคนขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้

ในวันที่ 13 มีนาคม กกต.เริ่ม ไต่สวน แผนการของอดีตผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติที่ต้องการเทคะแนนจากผู้สนับสนุนให้กับพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นพันธมิตรกัน หรือให้โหวต “โน” แม้ว่ากฎหมายเลือกตั้งไม่ได้ห้ามการกระทำเช่นนั้น กกต.ยัง ขู่พรรคอนาคตใหม่ ว่าจะทำการสอบสวน เนื่องจากอดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติได้รณรงค์หาเสียงให้พรรค แม้จะไม่ได้มีข้อห้ามตามกฎหมาย กกต.ยัง สอบสวนพรรคอนาคตใหม่ และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหัวหน้าพรรคตามคำร้องต่าง ๆ ซึ่งผู้ยื่นคำร้องเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลทหาร

แต่กกต.กลับดำเนินการอย่างเชื่อช้า กรณีที่เป็นคำร้องเพื่อกล่าวหาพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทหาร รวมทั้งคำร้องที่กล่าวหาว่า มีการบริจาคของข้าราชการและหน่วยราชการ ในระหว่างการจัดโต๊ะจีนเพื่อระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ซึ่งได้เงินจำนวน 650 ล้านบาท

กกต.ไม่สนับสนุนให้มีการสังเกตการณ์การเลือกตั้งอย่างเป็นอิสระและไม่ลำเอียง ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว แม้ว่ากกต.มักระบุว่าไม่คัดค้านการที่หน่วยงานต่างชาติจะขอเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ส่วนนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คัดค้านการมีส่วนร่วม ของผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ โดยให้เหตุผลว่าการเลือกตั้งเป็นกิจการในประเทศ และไม่จำเป็นต้องมีคนเหล่านี้มาเกี่ยวข้อง และการมีส่วนร่วมของคนเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศมีปัญหา

เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (Asian Network for Free Elections -ANFREL) เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับอนุญาตจากกกต.ให้สังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ สหภาพยุโรปและรัฐบาลต่างชาติอื่น ๆ ต้องสังเกตการณ์ผ่านเจ้าหน้าที่การทูตในประเทศไทยของตน กลุ่มในประเทศที่สำคัญอื่น ๆ รวมทั้ง มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (People’s Network for Elections - P-Net) ต่างร้องเรียนว่า กกต.เชื่องช้ามากในการกำหนดแนวปฏิบัติอย่างเป็นทางการสำหรับกลุ่มและหน่วยงานของพรรคการเมือง ที่ต้องการสังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้

วุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ร่างขึ้นโดยรัฐบาลทหาร ยังทำให้บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรอ่อนแอลง ส่งผลให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งอาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยคาดว่าการจัดตั้งรัฐบาลต้องอาศัยเสียงข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง 500 คนรวมกับวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน  

รัฐบาลคสช.ที่นำโดยประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ จะทำหน้าที่แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาทุกคน ยกเว้นหกคนที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง รวมทั้งปลัดกระทรวงกลาโหม

ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการ

ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทุกคนต่างเป็นสมาชิกคสช. หมายถึงว่าพรรคการเมืองที่ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ ต้องการเสียงจากสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเพียงหนึ่งในสาม เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้พรรคฝ่ายค้านจะชนะเลือกตั้งได้สส.มากถึงสองในสาม แต่ก็ยังไม่สามารถขัดขวางบุคคลดังกล่าวจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี

ในวันที่ 13 มีนาคม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลลัพธ์เช่นนั้น และบอกกับสื่อว่า คิดว่าเป็นเรื่องไม่ยากที่รัฐบาลทหารจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ เพราะวุฒิสภาจากการแต่งตั้งเป็นกลุ่มคนที่ “ควบคุมได้

วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลทหาร ยังจะมีบทบาทสำคัญและอาจทำให้ชัยชนะจากการเลือกตั้งและคำสัญญาระหว่างการเลือกตั้งของพรรคการเมืองไร้ความหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภาทำหน้าที่ดูแลให้รัฐบาลและรัฐสภาชุดต่อไปของไทย ต้องปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของคสช.เป็นเวลาอีก 20 ปี

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.