Skip to main content

ประเทศไทย: นักวิชาการท่านสำคัญอาจได้รับโทษจำคุก 15 ปี

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการริเคราะห์ทางประวัติศาสตร์

(นิวยอร์ก) – อัยการทหารไทย ควรถอนฟ้องข้อกล่าวหาต่อนักวิชาการท่านสำคัญ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์การทำยุทธหัตถีเมื่อศตวรรษที่ 16 ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 อัยการทหารจะแจ้งผลการพิจารณาว่าจะมีการสั่งฟ้องสุลักษณ์ ศิวรักษ์ อายุ 85 ปี ฐานละเมิดมาตรา 112 ว่าด้วยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปีหรือไม่

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการริเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ © 2017 Sulak Sivaraksa

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาลทหารได้แจ้งความดำเนินคดีต่อสุลักษณ์ โดยเป็นผลมาจากการอภิปรายของเขาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2557 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่กรุงเทพฯ สุลักษณ์ตั้งคำถามกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในสงครามยุทธหัตถีในศตวรรษที่ 16 ระหว่างพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวันกองทัพไทยที่มีการจัดงานรำลึกทุกปี มีรายงานว่าสุลักษณ์กล่าวในที่สัมมนาว่า “อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายเกินไป ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อ”

“การนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใช้อย่างมิชอบของรัฐบาลทหาร ได้รุนแรงถึงขั้นที่เป็นความเหลวไหล เมื่อนักวิชาการท่านสำคัญถูกดำเนินคดีอาญา เนื่องจากการตั้งคำถามต่อสงครมมยุทธหัตถีซึ่งเกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “เสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพในการแสดงความเห็นในประเทศไทย จะได้รับผลกระทบใหญ่หลวง หากมีการไต่สวนคดีต่อสุลักษณ์เกิดขึ้นจริง”

มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

ไม่มีเนื้อความใดในกฎหมายบ่งบอกว่ามาตรานี้ครอบคลุมถึงบุคคลอื่น ๆ อย่างพระมหากษัตริย์ในอดีตหรือคำอธิบายทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรัชกาลในอดีต แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการไทยได้ตีความกฎหมายนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาตามกฎหมาย

ในเดือนพฤษภาคม 2556 ศาลฎีกาพิพากษาว่า ณัชชากฤต จึงเรืองฤทธิ์มีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากการแสดงความเห็นเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งครองราชระหว่างปี 2394 ถึง 2411 โดยศาลให้ความเห็นว่า “การหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ก็ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ยังคงครองราชย์อยู่และระบุว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระอัยกาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน”

เสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพในการแสดงความเห็นในประเทศไทย จะได้รับผลกระทบใหญ่หลวง หากมีการไต่สวนคดีต่อสุลักษณ์เกิดขึ้นจริง
Brad Adams

ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย

ในเดือนธันวาคม 2558 ทางการไทย ได้จับกุมฐนกร ศิริไพบูลย์ คนงานในโรงงาน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากการโพสต์ความเห็นล้อเลียนสุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในเฟซบุ๊ก คดีของเขาอยู่ระหว่างการไต่สวนในศาลทหารกรุงเทพ

นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ในประเทศไทย มีบุคคลอย่างน้อย 105 คนที่ถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการโพสต์หรือแชร์ความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ศาลทหารได้กำหนดโทษรุนแรงขึ้นต่อความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อเทียบกับศาลพลเรือนในช่วงก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร จำเลยบางส่วนถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกกำหนดโทษจำคุกหลายสิบปี ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม 2558 ศาลทหารกรุงเทพลงโทษจำคุกพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง เป็นเวลา 60 ปี เนื่องจากการโพสต์ความเห็นหลายชิ้นในเฟซบุ๊ก ซึ่งศาลมองว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยนับเป็นโทษจำคุกสูงสุดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย แต่ตามมาตรฐานการกำหนดโทษของไทย ศาลได้ลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 30 ปีเมื่อพงษ์ศักดิ์รับสารภาพความผิดตามข้อกล่าวหา

รัฐบาลทหารยังเพิ่มความเข้มงวดต่อการแสดงความเห็นอย่างเสรี โดยอ้างความจำเป็นที่จะต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว ทั้งนี้แม้ว่านายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ จะให้สัญญาหลายครั้ง รวมทั้งในที่ประชุมของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2560 ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR)

แฟรงค์ ลา รู (Frank La Rue) ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงออกกล่าวไว้ในเดือนตุลาคม 2554 ว่า “การข่มขู่โดยการกำหนดโทษจำคุกเป็นเวลานาน และความคลุมเครือเกี่ยวกับการวินิจฉัยว่าคำพูดแบบใดจะถือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กระตุ้นให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเองและปิดกั้นการอภิปรายโต้เถียงที่สำคัญในประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและแสดงออก”

การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นของรัฐบาลทหาร ทำให้เกิดความยากลำบากต่อพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้พิพากษาและหน่วยงานอื่น ๆ ในการวินิจฉัยความน่าเชื่อถือของข้อกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แม้ว่าข้อกล่าวหานั้นจะมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับเนื้อหาตามกฎหมายก็ตาม ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีความกังวลว่า หากไม่สั่งฟ้องก็จะถูกกล่าวหาว่าแสดงความไม่จงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์เสียเอง

“รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ควรประกาศให้รัฐบาลทหารไทยทราบอย่างชัดเจนว่า การดำเนินคดีต่อนักวิชาการที่มีชื่อเสียงเนื่องมาจากการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ของเขา จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และเสรีภาพทางวิชาการ” อดัมส์ กล่าว “จึงควรมีการถอนฟ้องคดีต่อสุลักษณ์ ศิวรักษ์โดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข” 

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.
Topic