Skip to main content

ประเทศไทย: อย่าทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอ่อนแอลง

ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอ ควรมุ่งคุ้มครองความเป็นอิสระของหน่วยงาน

สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารเสนอร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยอ่อนแอลง และยังทำลายความเป็นอิสระของคณะกรรมการ © 2017 NHRCT

(นิวยอร์ก) – ร่างพระราชบัญญัติเพื่อปรับโครงสร้างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย จะทำให้หน่วยงานอ่อนแอลงอย่างมาก จึงควรมีการทบทวนเนื้อหาสาระสำคัญ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร ลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ร่างพระราชบัญญัตินี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ่างรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเอง ก่อนจะมีการออกเสียงเป็นขั้นสุดท้ายภายใน 25 วัน

องค์การสหประชาชาติ ตัวแทนการทูต และองค์กรเอกชนระหว่างประเทศและของไทย ได้แสดงข้อกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับข้อเสนอให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับกสม.ในครั้งนี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่เป็นอิสระและมีความมุ่งมั่นตั้งใจ พร้อมจะยืนหยัดขัดขวางการปฏิบัติมิชอบ ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางโดยรัฐบาลทหาร” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “แต่ในทางตรงกันข้าม สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่เหมือนสภาตรายาง โดยผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอ่อนแอลงไปอีก ทำลายความเป็นอิสระ และเปลี่ยนให้หน่วยงานนี้กลายเป็นเพียงกระบอกเสียงของรัฐ”

แม้ว่าร่างพระราชบัญญัตินี้จะมีเนื้อหาบางส่วนในทางบวก แต่โดยภาพรวมถือว่าส่งผลกระทบต่อหน้าที่และการดำเนินงานของกสม. รวมทั้งกระบวนการสรรหาและคุณสมบัติของกรรมการ
 

หน้าที่และการดำเนินงาน

ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคุ้มครองความสามารถในการดำเนินงาน ความเป็นอิสระ และอำนาจหน้าที่ที่กว้างขวาง ซึ่งควรเป็นไปตามหลักการสากลว่าด้วยสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (international Principles Relating to the Status of National Institutions on Human Rights หรือ (“หลักการปารีส”) ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้กำหนดอำนาจเป็นการเฉพาะ ให้กสม.สามารถเข้าตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจ ทัณฑสถาน และสถานที่ควบคุมตัวบุคคลอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นอำนาจกำกับดูแลที่สำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์จับกุมโดยพลการและการควบคุมตัวแบบลับโดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกโดยทหารหลายครั้งในประเทศไทย และมักมีข้อกล่าวหาว่าได้เกิดการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ถูกควบคุมตัว นับแต่การยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 

ร่างพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเนื้อหาของมาตรา 247 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลทหาร โดยกำหนดว่า กรรมการต้องทำหน้าที่ “ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์

เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม” เราเสนอให้ตัดข้อบทนี้ออก เนื่องจากเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถกดดันกสม. ให้วิพากษ์วิจารณ์ รายงานของหน่วยงานและองค์กรเอกชนระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย เปลี่ยนให้กสม.เป็นเพียงหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐ และทำหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของรัฐบาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่เป็นอิสระและมีความมุ่งมั่นตั้งใจ พร้อมจะยืนหยัดขัดขวางการปฏิบัติมิชอบ ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางโดยรัฐบาลทหาร
Brad Adams

ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย

ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 กสม.มีอำนาจในการยื่นคำร้อง และให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง เกี่ยวกับกฎหมายซึ่งก่อให้เกิดความกังวลด้านสิทธิมนุษยชน กสม.ยังสามารถยื่นคำร้องต่อศาลโดยเป็นตัวแทนผู้เสียหาย กรณีที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทั่วไป แต่อำนาจดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไป หลังการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 หลังการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 

ร่างพระราชบัญญัตินี้จะเปิดโอกาสให้กสม.สามารถยื่นคำร้องต่อศาล ในนามของผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน เฉพาะเมื่อผู้เสียหายไม่สามารถยื่นคำร้องได้ด้วยตนเองเท่านั้น ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงควรถูกทบทวน เพื่อให้กสม.มีอำนาจอีกครั้งที่จะยื่นคำร้องและให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง

ร่างพระราชบัญญัตินี้ยังจำกัดความสามารถของกรรมการอย่างไม่จำเป็น ในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เนื่องจากมีการห้ามไม่ให้กสม.รับประโยชน์จากหน่วยงานต่างชาติ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว เจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติและสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศ ได้แสดงข้อกังวลว่า รัฐบาลอาจใช้เงื่อนไขดังกล่าว เพื่อขัดขวางไม่ให้กรรมการสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมในกิจกรรมและการอบรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากต่างชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย จึงควรมีการตัดข้อบทนี้ออกจากร่างพระราชบัญญัตินี้
 

กระบวนการสรรหาและคุณสมบัติของคณะกรรมการ

ทางหน่วยงานพันธมิตรโลกของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (Global Alliance of National Human Rights Institutions) มีข้อสังเกตเมื่อปี 2557 ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการซึ่งเป็น “ข้าราชการจากบางหน่วยงานของรัฐ โดยไม่มีบุคคลใดเป็นตัวแทนอย่างชัดเจนจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักหรือภาคประชาสังคม หรือไม่มีข้อกำหนดให้ต้องปรึกษาหารือกับหน่วยงานเหล่านั้น” ในปี 2558 ทางหน่วยงานพันธมิตรโลกและคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จึงได้ลดสถานะของกสม.ในการจัดอันดับโลก จากระดับ “A” เป็น “B” เท่ากับเป็นการตัดสิทธิของกสม.ที่จะเข้าร่วม และแสดงความเห็นในที่ประชุมของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน

ผลจากการลงโทษดังกล่าว เป็นเหตุให้ในร่างพระราชบัญญัตินี้มีการปรับรื้อกระบวนการสรรหากรรมการ โดยร่างพระราชบัญญัตินี้ระบุว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีการสรรหากรรมการอย่างโปร่งใส เปิดให้มีการตรวจสอบจากสาธารณะ และให้มีการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามหลักการปารีส ซึ่งกำหนดให้มีกระบวนการและขั้นตอนการเสนอชื่อและการสรรหาผู้สมัครที่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

ตามหลักเกณฑ์ใหม่นี้ กรรมการต้องเป็นผู้มีอายุอย่างน้อย 45 ปี สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และมีประสบการณ์การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยผู้สมัครยังต้องมีความรู้ด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน หรือมีประสบการณ์การบริหารหน่วยงานสาธารณะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน

แม้เป็นเรื่องที่เหมาะสมว่ากรรมการควรมีประสบการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่หนักแน่น แต่ไม่เป็นสิ่งสมควรที่กำหนดให้กรรมการต้องจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ประเทศไทยมีบุคคลซึ่งมีทักษะและประสบการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องมีโอกาสเข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัย การกำหนดหลักเกณฑ์ด้านอายุก็เป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะเป็นอุปสรรคต่อผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งหลักเกณฑ์ด้านการศึกษาและอายุควรถูกตัดออกจากร่างพระราชบัญญัตินี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

คณะกรรมการสรรหาตามร่างกฎหมายใหม่นี้จะมีส่วนร่วม และมีตัวแทนจากหลายภาคส่วน มากกว่ากระบวนการในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการสรรหาชุดใหม่จะประกอบด้วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนสามคนจากองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน ตัวแทนหนึ่งคนจากสภาทนายความแห่งประเทศไทย หรือผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือผู้แทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชน และผู้แทนหนึ่งคนจากสถาบันอุดมศึกษาซึ่งสอนหรือทำงานวิจัยด้านด้านสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ดี ร่างพระราชบัญญัตินี้ระบุว่า คณะกรรมการสรรกาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวแทนขององค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน กรณีที่คณะกรรมการสรรหามีความเห็นให้ชะลอการแต่งตั้งบุคคลดังกล่าว ข้อบทนี้เปิดช่องที่ไม่จำเป็นให้รัฐบาลสามารถกีดกันกลุ่มสิทธิมนุษยชน จากการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสรรหา และควรถูกตัดออกไป ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

“ร่างพระราชบัญญัตินี้ควรถูกนำกลับไปปรับปรุงใหม่เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง ซึ่งทำลายความเข้มแข็ง ไม่ได้สร้างความเข้มแข็งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแต่อย่างใด” อดัมส์กล่าว “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะต้องสามารถยืนหยัดอย่างเป็นอิสระและเข้มแข็ง เพื่อทัดทานสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ซึ่งกำลังดิ่งลงเหวในปัจจุบัน” 

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.