Skip to main content

ประเทศไทย: ต้องไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์ไปประเทศจีน

ยุติการกักตัว อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยได้รับการจำแนกสถานะ

ผู้ต้องกักหลังลูกกรงที่สถานกักตัวคนต่างด้าวของตำรวจที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย 21 มกราคม 2562. © 2019 AP Photo/Sakchai Lalit

(กรุงเทพฯ) – กลุ่มชายชาวอุยกูร์ 48 คนได้ถูกกักตัวเป็นเวลานานกว่าทศวรรษในสถานกักตัวคนต่างด้าวของ ประเทศไทย พวกเขาเสี่ยงจะตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหาย การถูกคุมขังเป็นเวลานาน การทรมาน และการปฏิบัติมิชอบที่ร้ายแรงอย่างอื่น หากประเทศไทยบังคับส่งกลับพวกเขาไป ประเทศจีนฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ดูเหมือนว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้มีความเสี่ยงอย่างยิ่ง หลังการดำเนินงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ของเจ้าหน้าที่ตม.ของไทย รวมทั้งการแจ้งให้ผู้ต้องกักกรอกข้อมูลในเอกสารและการถ่ายภาพพวกเขา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า เป็นการเตรียมการก่อนจะถูกบังคับส่งตัวไป 

“รัฐบาลไทยที่ผ่านมากักตัวชาวอุยกูร์ในสภาพที่ขาดมนุษยธรรม แต่ก็ได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลจีนให้ส่งตัวพวกเขาไปประเทศจีน” อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร สามารถยุติวัฏจักรที่มิชอบเช่นนี้ได้ โดยการปล่อยตัวชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวเหล่านี้ทันที และอนุญาตให้พวกเขาเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศที่สามอย่างปลอดภัย” 

ในเดือนมีนาคม 2557 ตำรวจที่จังหวัดสงขลา ใกล้กับพรมแดนประเทศมาเลเซีย ได้จับกุมชาวอุยกูร์ 220 คน รวมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก และดำเนินคดีฐานเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และต่อมาได้ส่งตัวพวกเขาไปยังสถานกักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทางการไทยยังได้จับกุมตัวชาวอุยกูร์คนอื่น ๆ อีกหลายสิบคน และนำตัวไปไว้ที่สถานกักตัวคนต่างด้าวทั่วประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2558 ผู้หญิงและเด็กชาวอุยกูร์ประมาณ 170 คนซึ่งถูกกักตัวที่จังหวัดสงขลา ได้รับการปล่อยตัวและเดินทางไปประเทศตุรกีแต่อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ทางการไทยกลับ บังคับส่งตัวชายชาวอุยกูร์กว่า 100 คนไปให้ทางการจีน โดยเดินทางด้วยเครื่องบินไปประเทศจีน

ชาวอุยกูร์ 48 คนที่ยังคงถูกกักตัว ได้ถูกควบคุมตัวมาแล้วกว่า 10 ปี ในสภาพที่เลวร้าย ขาดสุขอนามัยและขาดการรักษาพยาบาลที่เพียงพอภายใต้ ความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่องว่าอาจถูกส่งตัวไปให้ทางการจีนควบคุมตัวชาวอุยกูร์ห้าคนที่ถูกกักตัวตั้งแต่ปี 2557 เสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว รวมทั้งเด็กแรกเกิดและเด็กอายุสามขวบอีกคนหนึ่ง 

ในจดหมายซึ่งสื่อมวลชนได้รับมาจากผู้ต้องกัก 48 คนลงวันที่ 10 มกราคม 2568 กลุ่มชาวอุยกูร์กล่าวว่า “เราอาจถูกคุมขัง และเราอาจจะต้องเสียชีวิต เราขอวิงวอนอย่างเร่งด่วนต่อหน่วยงานระหว่างประเทศและประเทศที่ใส่ใจต่อสิทธิมนุษยชน ให้ทำการแทรกแซงอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือพวกเราให้รอดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้าย ก่อนจะสายเกินไป” พวกเขาอยู่ระหว่างการอดอาหารประท้วง

รัฐบาลไทยมีพันธกรณีที่จะต้องเคารพหลักการไม่ส่งกลับอันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งห้ามประเทศต่าง ๆ ไม่ให้ส่งตัวบุคคลไปยังพื้นที่ใดที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่าจะตกเป็นเหยื่อของการประหัตประหาร การทรมาน หรือการปฏิบัติที่เลวร้ายอย่างร้ายแรงอื่น ๆ การคุกคามเอาชีวิต หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงแบบเดียวกัน หลักการไม่ส่งกลับเป็นข้อห้ามตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญานี้ รวมทั้งเป็นหลักการตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และเป็นข้อห้ามที่เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566 ของประเทศไทย  

ชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิมที่พูดภาษาเตอร์กิก ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รัฐบาลจีน มีท่าทีต่อต้านมาเป็นเวลานาน ต่อการแสดงออกตามอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การปราบปรามของจีนต่อชาวอุยกูร์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยทางการได้ปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนต่อพวกเขาอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ ถึงขั้นเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ทางการยังได้ควบคุมตัวบุคคลโดยพลการ ได้ลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม มีการสอดแนมข้อมูลอย่างกว้างขวาง มีการ บังคับใช้แรงงาน และมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของประชากรกลุ่มนี้ คาดการณ์ว่าชาวอุยกูร์ครึ่งล้านคน ยังคงถูกคุมขัง โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง โดยทางการมักกล่าวหาว่าการปฏิบัติอย่างสงบในชีวิตประจำวันของพวกเขา รวมทั้งการทำละหมาดหรือการติดต่อกับญาติที่อยู่ในต่างประเทศ เป็นการก่อการร้ายและแสดงถึงความคิดที่สุดโต่ง 

ชาวอุยกูร์ที่หาทางหลบหนีจากประเทศจีนอย่างผิดกฎหมาย หากถูกส่งตัวกลับมา จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยและเสี่ยงที่จะถูกควบคุมตัว ถูกสอบปากคำ ตกเป็นเหยื่อของการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีอื่น ๆ 

รายงานปี 2565 ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ บันทึกข้อมูลการปฏิบัติมิชอบที่เข้มข้นมากขึ้น และสรุปว่าการปฏิบัติของจีนอาจถึงขั้นเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 

ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และไม่มีกลไกระดับชาติที่เป็นผลเพื่อประเมินคำร้องขอที่ลี้ภัย หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยมักปฏิเสธไม่ให้หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เข้าถึงกลุ่มผู้ชายเหล่านี้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้สิทธิที่จะได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยของตนเอง การกักตัวชาวอุยกูร์เป็นเวลานานของรัฐบาลไทย ยังเป็นการละเมิดข้อห้ามตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศไม่ให้มีการควบคุมตัวโดยพลการ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

“รัฐบาลไทยควรช่วยเหลือให้บุคคลสามารถหลบหนีจากการประหัตประหาร ไม่ใช่คุมขังพวกเขา และไม่ควรละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งไม่ควรส่งตัวพวกเขาเพื่อไปเผชิญหน้ากับอันตราย” เพียร์สันกล่าว “ทางการไทยควรอนุญาตให้หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเข้าไปทำการคัดกรองสถานะของชาวอุยกูร์ทั้ง 48 คนทันที และประกันให้พวกเขาสามารถเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศที่สามได้อย่างปลอดภัย” 

Your tax deductible gift can help stop human rights violations and save lives around the world.

Donate today to protect and defend human rights

Human Rights Watch operates in over 100 countries, where we work to investigate and document human rights abuses, expose the truth and hold perpetrators to account. Your generosity helps us continue to research abuses, report on our findings, and advocate for change, ensuring that human rights are protected for all.

Tags