นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน
สำนักนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย
ประเทศไทย
15 ตุลาคม พ.ศ.2566
เรียน นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน
พวกเราคือกลุ่มองค์กรที่มีรายนามตามท้ายหนังสือฉบับนี้ซึ่งดำเนินงานส่งเสริมให้ภาคประมงของประเทศไทยดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย เป็นธรรม และมีความยั่งยืน พวกเราเขียนหนังสือฉบับนี้ร่วมกันขึ้นเพื่อแสดงเจตจำนงค์และความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อเรียกร้องถอยหลังและแนวทางการดำเนินนโยบายในอนาคตที่อาจเป็นผลให้การปฏิรูปภาคประมงไทยเดินถอยหลัง และใคร่ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาและทบทวนแนวทางการจัดการกับประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ข้อเรียกร้องถอยหลังเหล่านี้อาจถือได้ว่าเป็นจุดผกผันสำหรับการประมงของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงความก้าวหน้าที่เกิดจากความพยายาม เวลา และทรัพยากรต่างที่ถูกอุทิศให้แก่การพัฒนาภาคการประมงในช่วงแปดปีที่ผ่านมา ไม่นานมานี้ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาอารยประเทศในการเข้าร่วมพันธกรณีระหว่างประเทศและได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ประชาคมโลกว่าจะกำจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing: IUU) ออกจากห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลของประเทศไทย ซึ่งหากรัฐบาลเลือกที่จะทำตามข้อเรียกร้องถอยหลังดังกล่าวจะเป็นการขัดกับคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยเคยได้ให้ไว้ต่อประชาคมโลก
ความก้าวหน้าของรัฐบาลไทยในการบรรลุภาคประมงไทยที่ยั่งยืน ถูกกฎหมาย และมีจริยธรรม เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปถอยหลังในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อประเทศไทยและอุตสาหกรรมประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชาคมโลกกำลังมุ่งสู่ความโปร่งใสและความรับผิดชอบในอุตสาหกรรมอาหารทะเลมากขึ้น
อุตสาหกรรมประมงไทยก่อนปี พ.ศ. 2553 นั้น ถือว่าดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลที่ไม่ทันสมัย ไม่เข้มแข็ง และไม่มีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การถดถอยทางสิ่งแวดล้อม ร่วมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงานอย่างเป็นระบบ จำนวนสัตว์น้ำลดปริมาณลงอย่างน่าตกใจ เมื่อวัดด้วยปริมาณการจับสัตว์น้ำต่อหน่วยการลงแรงประมง (catch per unit effort: CPUE) พบว่าปริมาณสัตว์น้ำลดลงถึงร้อยละ 88 ในระหว่างปี พ.ศ. 2509 ถึง พ.ศ. 2560 อันเป็นผลโดยตรงจากการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สิ่งนี้เองที่ทำให้ระบบนิเวศทางทะเลของไทยอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลาย และยังเป็นภัยคุกคามต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านและประมงเชิงพาณิชย์หลายแสนชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตยังเป็นที่รับทราบกันดีในระดับนานาชาติว่ากองเรือของไทยจำนวนหนึ่งประวัติพัวพันอาชญากรรมอันน่าหดหู่ ไม่ว่าจะเป็นการทารุณกรรม การบังคับใช้แรงงาน และแม้แต่การฆาตกรรมแรงงานข้ามชาติ
ซึ่งเหตุการณ์ในอดีตดังกล่าวที่ถูกเปิดเผยโดยภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนระดับโลกอย่าง New York Times Associated Press The Guardian และอื่นๆ ส่งผลให้นานาชาติประณามการละเมิดดังกล่าว จนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงประเทศไทยในประชาคมโลกและภาพลักษณ์ของอาหารทะเลไทยในตลาดโลก
การขาดความโปร่งใสโดยสิ้นเชิงและบทลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วนต่อผู้ประกอบการเรือประมงที่ไร้จริยธรรมในอดีตถือเป็นเชื้อเพลิงของการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงจำนานมาก จนเป็นเหตุให้เกิดมาตรการแทรกแซงจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (ผ่านการลดอันดับตามรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี (Trafficking in Persons: TIP) โดยจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในบัญชีกลุ่มที่ 3 ในปี พ.ศ. 2557) และคณะกรรมาธิการยุโรป (ผ่านการออกใบเหลืองเพื่อตักเตือนในปี พ.ศ. 2558) ผลสืบเนื่องนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติดังที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ข้างต้นซึ่งมีผู้อ่านทั่วโลก แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการที่อาหารทะเลของไทยที่ถูกมองว่าเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงในตลาดต่างประเทศ ปัญหาดังกล่าวยังคงส่งแรงกระเพื่อมมาจนถึงปัจจุบัน: ประเทศไทยตกอันดับจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลอันดับสามของโลกที่มีมูลค่าราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2555 มาอยู่อันดับที่ 13 ที่มีมูลค่าการส่งออกเพียง 5.4 พันล้านในปี พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2563 อุตสาหกรรมประมงมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross domestic product: GDP) อยู่ที่ร้อยละ 0.72
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวทางการไทยได้ทุ่มเทความพยายาม ทรัพยากร และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อดำเนินการปฏิรูปครั้งสำคัญ อันประกอบด้วยพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การเปิดเผยบัญชีใบอนุญาตเรือประมงเชิงพาณิชย์สู่ฐานข้อมูลสาธารณะการจัดทำรายชื่อลูกเรือให้เป็นดิจิทัล และการนำกลไกควบคุม ติดตามและเฝ้าระวัง (monitoring, control and surveillance: MCS) มาใช้ดำเนินการเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบทั่วทั้งอุตสาหกรรมประมง ผลจากความพยายามและการปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกฎหมายประมงของไทยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการโน้มน้าวให้สหภาพยุโรปปลดใบเหลือง และยกระดับสถานะของประเทศไทยในรายงาน TIP ในปีถัดไป
เจ็ดปีหลังจากนั้นเราเพิ่งจะเริ่มเห็นสัญญาณผลกระทบเชิงบวกจากการฟื้นตัวของประชากรปลา ระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2564 ปริมาณการจับสัตว์น้ำต่อหน่วยการลงแรงประมง (CPUE) ในทะเลอันดามันเพิ่มขึ้นจาก 11 กก./ชม. เป็น 20 กก./ชม. และในอ่าวไทยจาก 33 กก./ชม. เป็น 45 กก./ชม. อย่างไรก็ตามปริมาณนี้ยังเป็นถือว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับปที่ริมาณที่จับได้ในช่วงปี พ.ศ. 2523 – 2533 ด้วยธรรมชาติของการฟื้นฟูอันละเอียดอ่อน เราเชื่อว่าการรักษาความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การกระทำการใดๆ ก็ตามที่เบี่ยงเบนไปจากแนวทางพัฒนาที่เป็นอยู่อาจส่งผลเชิงลบต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลในอนาคต และอาจนำไปสู่การล่มสลายของประชากรปลาที่เพิ่งมีได้รับฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำที่จะลดทอนความสามารถของประเทศไทยในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งผลเสียต่อสถานะระหว่างประเทศของไทยในตลาดอาหารทะเล การหันเหออกจากแนวทางพัฒนาที่มีอยู่ยังอาจทำให้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่บนเรือประมงไทยทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะกัดกร่อนความก้าวหน้าที่เพิ่งจะเกิดขึ้นจากการขึ้นทะเบียนแรงงานประมงข้ามชาติให้ให้มีสถานะทางกฎหมายที่ถูกต้อง รวมถึงการยกระดับสภาพความเป็นอยู่และการทำงานบนเรือ นอกจากนี้ควรที่จะตระหนักว่าการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติของไทยทั้งด้านสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนของพวกเขาจะเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (free trade agreement: FTA) ระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยที่กำลังดำเนินการอยู่
ด้วยเหตุผลเหล่านี้พวกเราจึงมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลไทยที่มีต่อนโยบายการบริหารจัดการประมงที่กำลังพิจารณาเพิกถอนกฎหมายและระเบียบการที่สำคัญ โดยพบว่าผู้สนับสนุนการเพิกถอนกฎระเบียบดังกล่าวมักอ้างว่ามูลค่าการค้ากับสหภาพยุโรปมีเพียงร้อยละ 5.6 ของการส่งออกอาหารทะเลไทย แม้สถิติดังกล่าวจะเป็นความจริง แต่มาตรการเฝ้าระวังการจับสัตว์น้ำและข้อกำหนดสำหรับการสืบทวนกลับ การปฏิบัติตามกฎหมาย การจับสัตว์ทะเลอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมภายใต้กฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศไทยเพิ่งจะดำเนินการได้สำเร็จนั้น มิได้เป็นเพียงหลักมาตรฐานเฉพาะในสหภาพยุโรปเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามนานาประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยล้วนให้ความสำคัญกับการนำหลักมาตรฐานดังกล่าวมาพิจารณาในการนำเข้าสินค้าอาหารทะเล กระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านความโปร่งใสของการประมงและข้อกำหนดในการตรวจสอบย้อนกลับของอาหารทะเลที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ อาจทำให้ข้อมูลรับรองการส่งออกอาหารทะเลของไทยที่มีอยู่ตกอยู่ในความเสี่ยงสูง และอาจส่งผลให้ตลาดการค้าอาหารทะเลของไทยมากกว่าครึ่งตกอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ยังไม่นับรวมกฎเกณฑ์การห้ามนำเข้าสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงาน เช่น คำสั่งกักกันโดยอัตโนมัติสำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยใช้แรงงานบังคับ (Withhold Release Orders) ของหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกาที่จะถูกนำมาพิจารณาร่วมด้วย ในภาพรวมจะเห็นได้ว่ามูลค่าของการค้าอาหารทะเลระหว่างประเทศที่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความโปร่งใส และการตรวจสอบย้อนกลับอย่างเข้มข้นมีมูลค่าโดยรวมประมาณถึงราวร้อยละ 59.9 ของการค้าอาหารทะเลของไทย ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 22.4) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 18.7) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 5.6) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 5.0) แคนาดา (ร้อยละ 3.7) (เกาหลีใต้ 3.5%) และนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 0.8)
การไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยเคยให้ไว้ในการสร้างความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับของอาหารทะเลนั้น ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงและหายนะต่ออุตสาหกรรมประมง ประเทศไทยอาจถูกโดดเดี่ยวและอุตสาหกรรมประมงไทยจะเดินถอยหลังกลับไปนับทศวรรษ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกกำลังก้าวไปสู่อนาคต การเพิกถอนกฎหมายตามคำเรียกร้องของผู้ประกอบการไม่เพียงแค่เป็นการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อทรัพยากรประมงอย่างผิวเผินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากอีกด้วย การเพิกถอนกฎหมายนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมประมงเพียงร้อยละ 20 หากนับจากจำนวนเรือประมง แต่ในขณะเดียวกันกลับส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งกลายเป็นผู้เสียประโยชน์อย่างมหาศาล ถือเป็นการคุกคามวิถีชีวิต และความมั่นคงทางอาหารต่อจำนวนมาก ด้วยการกำกับดูแลที่หละหลวมและอ่อนแอ นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้แรงงานประมงข้ามชาติตกอยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัยและอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งของรูปธรรมปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นคือการเพิ่มชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน รายได้ที่น้อยลง และสภาพความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายต่อแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่แล้วทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
เป็นที่น่าชื่นชมที่ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 (อนุสัญญาว่าด้วยการทำงานประมง) ในปี พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ดีข้อเรียกร้องโดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สุ่มเสี่ยงที่จะขัดแย้งนโยบายและกรอบกฎหมายที่มีอยู่ซึ่งเป็นไปตามการอนุวัติอนุสัญญาฉบับที่ 188 ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลที่ลดลง แรงงานประมงข้ามชาติจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเปราะบางต่อชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น ค่าแรงที่ลดลง และสภาพความเป็นอยู่ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายที่พวกเขาเผชิญอยู่รุนแรงขึ้น
การเพิกถอนกฎหมายยังนำมาซึ่งผลสืบเนื่องทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงต่อประเทศไทย นอกเหนือไปจากการทำให้กว่าครึ่งของมูลค่าการค้าอาหารทะเลของไทยตกอยู่ในความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว การเพิกถอนกฎหมายยังเป็นภัยคุกคามต่อภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งซึ่งนั่นก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การปกป้องทรัพยากรทางทะเลของไทยคือสิ่งสำคัญในการรักษาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 2.8 พันล้านบาท (82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี พ.ศ. 2560 คิดเป็นร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมดำน้ำลึกนั้นมีมูลค่ามากถึง 161 ล้านเหรียญสหรัฐ (5.52 พันล้านบาท) เทียบได้กับมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลที่ไทยส่งไปยังสหภาพยุโรปในปี พ.ศ. 2561 เนื่องด้วยอุตสาหกรรมดำน้ำทั่วโลกกำลังฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 รัฐบาลไทยควรตระหนักถึงการอนุรักษ์ทางทะเลและการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนั้นจะส่งผลดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในภาพรวม ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังการระบาดของโควิด-19 ดังนั้นแล้วจึงสามารถกล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่รัฐจะเพิ่มความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจที่อาจทำลายตลาดการค้าอาหารทะเลระหว่างประเทศของไทย
ต่อไปนี้จะเป็นการอภิปรายถึงอันตรายจากข้อเรียกร้องถอยร้องที่เป็นปัญหาซึ่งกำลังถูกผลักดันโดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและกลุ่มผู้ประกอบการเรือประมง โดยรัฐบาลไทยควรทบทวนข้อเสนอดังกล่าวและพิทักษ์การพัฒนาอุตสาหกรรมประมงที่กำลังดำเนินการอยู่ให้สัมฤทธิ์ผลต่อไป:
- การยกเลิกการควบคุม (1) การขนถ่ายกลางทะเลของสัตว์ทะเลที่จับได้ และ (2) การขนถ่ายลูกเรือกลางทะเลระหว่างการประมง: จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าการขนถ่ายกลางทะเลเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่ทราบกันว่าในอดีตเรือประมงไทยทำเช่นนี้เพื่อขนถ่ายลูกเรือข้ามชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนกลางทะเลเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหลบหนี นี่เป็นวิธีกักขังพวกเขาไว้บนเรือได้อย่างมีประสิทธิผล หรือราวกับที่กักกันกลางทะเล ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างถูกต้องและรุนแรงจากประชาคมระหว่างประเทศและผู้บริโภคอาหารทะเลทั่วโลก เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติดังกล่าว กรมประมงจึงได้แก้ไขการห้ามการขนถ่ายสัตว์น้ำและลูกเรือกลางทะเลในปี พ.ศ. 2558
การอนุญาตให้สามารถทำการขนถ่ายกลางทะเลได้อีกครั้งจะเป็นหายนะต่อความโปร่งใสในอุตสาหกรรมประมงไทย สิ่งนี้จะลดความสามารถของหน่วยงานต่าง ๆ ในการบังคับใช้กฎหมาย และการติดตามการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการประมงและตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่และการทำงานของแรงงานบนเรือประมง นอกจากนั้นนี่ยังเปิดช่องให้กับการเอารัดเอาเปรียบลูกเรือและการขนถ่ายแรงงานกลางทะเลอย่างไร้จุดหมายได้มากขึ้น
การย้อนกลับไปสู่แนวทางปฏิบัติดังกล่าวจะเป็นการละเมิดหลักจรรยาบรรณ กฎระเบียบ (Code of Conduct) หรือ กฎระเบียบด้านการตรวจสอบย้อนกลับของบริษัทอาหารทะเลรายใหญ่หลายราย และอาจส่งผลให้นานาประเทศพิจารณาเลิกซื้ออาหารทะเลจากประเทศไทย
- การยินยอมให้มีการใช้แรงงานเด็ก: ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลฉบับใหม่ (พ.ศ. 2565) (“ระเบียบ”) ซึ่งอนุญาตให้เด็กอายุ 16 ถึง 18 ปีสามารถฝึกงานในเรือประมงได้ภายใต้ข้อจำกัดบางประการ[xiv] ภาคประชาสังคมของไทยแสดงข้อกังวลโดยทันทีเกี่ยวกับข้อกำหนดใหม่นี้ โดยเรียกร้องให้มีการเพิกถอนโดยเร็วเนื่องจากมีรายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่และสภาพการทำงานที่ย่ำแย่บนเรือไทย รวมถึงอัตราการสูญหายของแรงงานประมงในทะเลเป็นจำนวนมาก (109 คนในปี พ.ศ. 2564 และ 122 คนในปี พ.ศ. 2565 ตามข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.))
กฎระเบียบดังกล่าวยังขัดแย้งกับจุดยืนของประเทศไทยต่อการคุ้มครองเด็ก และสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดอนุสัญญาฉบับที่ 182 การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเอาไว้ และอาจทำให้ชื่อเสียงที่น่าชื่นชมของประเทศไทยที่ได้มาจากการทำงานอย่างทุมเทในฐานะผู้นำตลาดอาหารทะเลระดับนานาชาติตกอยู่ในความเสี่ยง หลักจรรยาบรรณ (Code of Conduct) ของอุตสาหกรรมอาหารทะเลระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้มีแรงงานอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของตน ผู้ซื้อในตลาดอาหารทะเลที่สำคัญ เช่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา อาจไม่เต็มใจยอมรับความเสี่ยงในการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากประเทศไทยหากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นอาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม เราเชื่อว่าระเบียบดังกล่าวจำเป็นต้องมีการทบทวนอย่างเร่งด่วนเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความเกี่ยวข้องกับระบบการเฝ้าระวังตลอดจนข้อกำหนดการทำงานที่แน่นอนของแรงงานเด็กบนเรือ
- การทำให้มาตรการเชิงลงโทษที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการทำประมง IUU อ่อนแอลง: อาชญากรรมประมงคุกคามความมั่นคงทางอาหาร และบ่อนทำลายความถูกต้องตามกฎหมาย เป็นธรรม และความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารทะเล โดยทำลายหลักนิติธรรมและความรับผิดรับชอบชอบ หากไม่มีมาตรการแทรกแซงที่เหมาะสมเพื่อยับยั้งการทำประมง IUU และการละเมิดสิทธิแรงงานที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการประมงของไทยจะลดน้อยลง ซึ่งจะทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ซื้ออาหารทะเลไทยในตลาดโลก
- การขยายจำนวนวันออกเรือทำประมงที่อนุญาตต่อครั้ง: ข้อเสนอปัจจุบันแนะนำให้ขยายจำนวนวันจับปลาตามกฎหมายต่อการออกเรือจาก 30 วันเป็น 45 วัน หรือแม้แต่ 60 วัน การขยายเวลาดังกล่าวอาจเพิ่มความพยายามในการประมงเกินกว่าระดับที่ยั่งยืน และในขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสของการขนถ่ายสัตว์น้ำที่จับได้และลูกเรือในทะเล เนื่องจากเรือสามารถทำการประมงได้ไกลและใช้เวลาจากฝั่งได้มากขึ้น
- ขยายระยะเวลาที่ผู้ประกอบการเรือสามารถแก้ไขรายชื่อลูกเรือหลังจากออกจากท่าได้: การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้มีการนำคนงานขึ้นเรือเพิ่มเติมได้หลังจากการตรวจสอบที่ท่าเรืออย่างเป็นทางการแล้วเสร็จ ซึ่งจะเปิดโอกาสต่อความเป็นไปได้ในการค้ามนุษย์และการเอารัดเอาเปรียบแรงงานรวมถึงการใช้แรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งมักจะไม่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- การยกเลิกระบบการจ่ายเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคารสำหรับแรงงานประมง: ระบบการจ่ายค่าแรงทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัญชีธนาคารแสดงให้เห็นว่าได้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถืออย่างมากในอุตสาหกรรมที่มีรูปแบบการจ่ายค่าจ้างสับสน การยึดค่าแรงค่าจ้าง และการหักหนี้ที่ไม่โปร่งใส หากไม่มีระบบการจ่ายค่าแรงค่าจ้างที่ปลอดภัยและสามารถตรวจสอบได้ แรงงานประมงอาจถูกหักค่าจ้างและมีหนี้สินผูกมัดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ว่าจะมีความท้าทายหลายประการต่อประสิทธิผลโดยรวมของระบบการจ่ายค่าแรงผ่านบัญชีธนาคารแต่นี่ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในปัจจุบันเพื่อที่จะรับประกันได้ว่าคนงานจะได้รับค่าจ้าง และพวกเขาจะได้รับเงินในจำนวนที่ถูกต้อง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการผ่อนปรนนโยบายเพียงเล็กน้อยโดยการยินยอมให้สามารถชำระค่าแรงส่วนหนึ่งของคนงานเป็นเงินสดได้จะทวีคูณความเสี่ยงของการหลอกลวง การหักค่าจ้าง และการผูกมัดด้วยหนี้สิน (ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งชี้การบังคับใช้แรงงาน) ในกลุ่มชาวประมง
- การกลับไปจ่ายเงินเดือนลูกเรือเป็นค่าจ้างรายวัน: การยกเลิกการจ่ายเงินเดือนที่ทำอยู่ในปัจจุบันไปสู่การจ่ายเงินสดตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำรายวันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการหักหรือลดค่าจ้าง การจ่ายเงินเดือนที่ไม่ตรงกัน ไม่สามารถตรวจสอบและการขาดความโปร่งใสทางการเงินโดยสิ้นเชิง นายจ้างยังควรต้องจ่ายเงินเดือนให้กับแรงงานประมงอย่างน้อยเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายคูณด้วย 30 วัน การจ่ายเงินจะต้องทำผ่านบัญชีธนาคารเพื่อให้กระบวนการมีความโปร่งใส
- ยกเลิกข้อกำหนดที่ผู้ประกอบเรือจะต้องระบุพิกัดการทำประมงในสมุดบันทึกการทำประมง: พิกัดตำแหน่งการทำประมงที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นในการตรวจสอบว่าสัตว์ทะเลถูกจับในพื้นที่การทำประมงที่ถูกกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำลายความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้สามารถทำการประมง IUU ในพื้นที่คุ้มครองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือประมงเชิงพาณิชย์จำนวนนึงยังไม่มีระบบติดตามเรือผ่านดาวเทียม (Vessel Monitoring System: VMS) และ/หรือปิดระบบระบุตัวตนอัตโนมัติ (Automatic Identification System: AIS)
- ยินยอมให้ต่ออายุใบอนุญาตทำการประมงกับเรือประมงพาณิชย์ที่ถูก 'ล็อก': เรือกลุ่มนี้ (ประมาณ 949 ลำ) ถูกห้ามทำการประมงในปี พ.ศ. 2558 และรวมถึงเรือประมงหรือเรือสนับสนุนการประมงที่พบว่ามีทะเบียนเรือหรือใบอนุญาตทำการประมงไม่ถูกต้อง ณ เวลานั้น การอนุญาตให้เรือเหล่านี้ขึ้นทะเบียนใหม่และกลับมาทำการประมงจะทำให้กองเรือมีกำลังการจับปลาที่มากเกินไปและนำไปสู่การจับปลาเกินขนาดที่ไม่ยั่งยืนในช่วงเวลาที่ปริมาณปลาของประเทศไทยเพิ่งจะอยู่ในระยะเริ่มแรกของการฟื้นฟูหลังจากการลดลงอย่างรุนแรง
พวกเราที่มีรายนามตามท้ายของหนังสือฉบับนี้ ขอเรียกร้องท่านนายกรัฐมนตรีด้วยความเคารพและใคร่ขอให้ท่านดำเนินการโดยทันทีเพื่อให้แน่ใจว่ากฎระเบียบป้องกัน IUU และกลไกความโปร่งใสที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งในกฎหมายและข้อบังคับได้รับการคุ้มครองและมีความเข้มแข็ง แทนที่จะถูกผ่อนปรนหรือเพิกถอน รัฐบาลควรขยายการคุ้มครองสิทธิของลูกเรือข้ามชาติ ไม่ใช่ลดทอนกฎระเบียบให้อ่อนแอลง นอกจากนี้ยังควรปฏิรูปพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เพื่ออนุญาตให้แรงงานข้ามชาติสามารถจัดตั้ง จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ และเป็นผู้นำสหภาพแรงงานที่ตนสร้างขึ้นเอง
พวกเราขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยชุดใหม่ควรมีการปฏิบัตินโยบายประมงที่มีความรอบคอบและมีแนวทางการป้องกันที่คำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้านและชัดเจน ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และมาตรฐานสากล มากกว่าการดำเนินการตามคำโน้มน้าวที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมในระยะสั้น รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงในระยะยาว ความยั่งยืน และการเคารพในสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน และทำให้แน่ใจว่าการแก้ไขกฎหมายและข้อบังคับใด ๆ จะต้องทำอย่างมีส่วนร่วม โดยครอบคลุมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงภาคการประมงเชิงพาณิชย์ ผู้ผลิตอาหารทะเล สมาคมประมงพื้นบ้าน องค์กรภาคประชาสังคม แรงงานข้ามชาติและลูกเรือ และสถาบันการศึกษา ผ่านกระบวนการที่เปิดเผยและเป็นสาธารณะซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการหารืออย่างสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง
พวกเราเชื่อว่าภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ท่านจะให้ความสำคัญกับการรักษาความก้าวหน้าที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ และปูทางไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทยตลอดจนทุกคนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมนี้ พวกเราขอนัดพบกับท่านหรือตัวแทนของท่าน เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่ระบุในหนังสือฉบับนี้ และขอให้ท่านกรุณาตอบกลับมาที่ ผู้แทนมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โทรศัพท์ +66-92-968-3057 อีเมล์ info@ejfoundation.org โดยเร็วตามที่ท่านสะดวก
องค์กรที่ร่วมลงนาม:
-
- กรีนพีซ (Greenpeace)
- กลุ่มประพื้นบ้านบ้านปากคลอง
- กลุ่มประมงบ้านหาดยาวเจ้าไหม
- กลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านน้ำราบ
- กลุ่มประมงพื้นบ้านเกาะลิบง
- กลุ่มประมงพื้นบ้านบ้านแหลมมะขาม
- กลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำบ้านตะเสะ
- กลุ่มแปรรูปอาหารทะเลบ้านฉางหลาง
- กลุ่มเฝ้าระวังน้ำผิวดินระยอง
- กลุ่มเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity Group)
- กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทุ่งกระบือร่วมใจพัฒนา
- กลุ่มวิสาหกิจชุมชนประมงบ้านแหลมไทร
- กลุ่มอนุรักทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ต.เกาะสุกร
- กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบ้านต้นไทร (สุโสะ)
- คณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Working Group: HRWG)
- คริสตจักรเอกภาพในออสเตรเลีย สมัชชาแห่งวิกตอเรีย และแทสเมเนีย (Uniting Church in Australia, Synod of Victoria and Tasmania)
- เครือข่ายฟื้นฟูอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมลำน้ำพอง
- เครือข่ายแรงงานข้ามชาติเมียนมาร์ กรุงเทพมหานคร (Myanmar Migrant Network Bangkok: MMNB)
- เครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network: LPN)
- เครือข่ายสิทธิแรงงานประมง (Fishers' Rights Network: FRN)
- เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group: MWG)
- โครงการริเริ่มความยุติธรรมแห่งมหาสมุทรอินโดนีเซีย (Indonesia Ocean Justice Initiative)
- ชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง
- โซลิดาลิตี้ เซ็นเตอร์ (Solidarity Center)
- ที่ปรึกษาด้านการวิจัยมนุษยชาติ (Humanity Research Consultancy)
- เนเจอร์มายด์ เอ็ด (NatureMind-ED)
- แนวร่วมประชาชนเพื่อความยุติธรรมด้านการประมง (The People’s Coalition for Fisheries Justice - Koalisi Rakyat untuk Keadilan Perikanan/KIARA)
- ป่าสาละ (Sal Forest)
- ฟรีดอม ฟันด์ (Freedom Fund)
- ฟอร์ติฟายไรท์ (Fortify Rights)
- ฟิชไวส์ (FishWise)
- ภาคีเครือข่ายปฏิบัติการประมง (Fisheries Action Coalition Team: FACT)
- ภาคีเครือข่ายเพื่อความโปร่งใสด้านการประมง (Coalition for Fisheries Transparency)
- มูลนิธิ Nexus3 (Nexus3 Foundation)
- มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF)
- มูลนิธิบูรณะนิเวศ (Ecological Alert and Recovery – Thailand)
- มูลนิธิเปจวง ซูอารา เปลาต์ (PSP) แห่งอินโดนีเซีย (Pejuang Suara Pelaut (PSP) Indonesia)
- มูลนิธิเพื่อผู้เดินทางข้ามชาติ (Migrant Care)
- มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
- มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation)
- มูลนิธิมานุษยะ (Manushya Foundation)
- มูลนิธิรักษ์ไทย (Rak Thai Foundation)
- มูลนิธิรักสัตว์ป่า (Love Wildlife Foundation)
- มูลนิธิโลกสีเขียว (Green World Foundation)
- มูลนิธิสิ่งแวดล้อม การพัฒนา และพลังงานหมุนเวียน( Environnement, Développement et Énergies Renouvelables)
- มูลนิธิอีโคนูซา (EcoNusa)
- มูลินิธิเปเลาต์ อินโดนีเซีย เซจาห์เทรา (Pelaut Indonesia Sejahtera)
- รีรีฟ (ReReef)
- เวอริเต้ (Verité)
- เวอริเต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Verité Southeast Asia)
- ไวล์ดเอด (WildAid)
- ศูนย์ปฏิบัติการความรับผิดชอบองค์กร (Corporate Accountability Lab)
- ศูนย์ปฏิบัติการนักเดินเรือนานาชาติ มูลนิธิฟิลิปปินส์ อิงค์ (International Seafarers Action Center (ISAC) Philippines Foundation Inc.)
- ศูนย์พันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน (Center for Alliance of Labor and Human Rights: CENTRAL)
- ศูนย์สนับสนุนผู้อพยพ (Center for Migrants Advocacy: CMA)
- สมาคมชาวประมงชายฝั่งมาเลเซียเพื่อการศึกษาและสวัสดิการ (Persatuan Pendidikan dan Kebajikan Jaringan Nelayan Pantai Malaysia: JARING)
- สมาคมชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้
- สมาคมผู้บริโภคแห่งปีนัง (Consumers' Association of Penang)
- สมาคมพราว (PROUD Association)
- สมาคมเพื่อการพัฒนาและติดตามการวิจัยแห่งมอริเตเนีย (Baba Cheikh ONG ADRES Association Mauritanienne de développement de recherche et de suivi)
- สมาคมเพื่อนโลกแห่งมาเลเซีย (Sahabat Alam Malaysia - Friends of the Earth)
- สมาคมแรงงานก่อสร้างและแรงงานไม้นานาชาติ (Building and Wood Worker’s International: BWI)
- สมาคมสิ่งแวดล้อมและสัตว์แห่งไต้หวัน (Environment & Animal Society of Taiwan: EAST)
- สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights: FIDH)
- สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)
- สหพันธ์เพื่อการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมแห่งเกาหลี (Korea Federation for Environmental Movements)
- สหพันธ์อิสระคนเดินเรือแห่งเมียนมาร์ (Independent Federation of Myanmar Seafarers: IFOMS)
- สหภาพแรงงานข้ามชาติแห่งอินโดนีเซีย (Serikat Buruh Migran Indonesia: SBMI)
- สหภาพแรงงานประมงชาวแห่งอินโดนีเซีย (Serikat Pekerja Perikanan Indonesia: SPPI)
- องค์การการอนุรักษ์สากล (Conservation International)
- องค์การความยุติธรรมแรงงานสากล-สิทธิแรงงานระหว่างประเทศ (Global Labor Justice-International Labor Rights Forum: GLJ-ILRF)
- องค์การจังการ์ กะรัต (Jangkar Karat)
- องค์การต่อต้านการทำประมงทำลายล้างแห่งอินโดนีเซีย (Destructive Fishing Watch Indonesia)
- องค์การบลูเวนเจอร์ส(Blue Ventures)
- องค์การปลดปล่อยทาส (Be Slavery Free)
- องค์การผู้หญิงเพื่อทะเล (Women4Oceans)
- องค์การยุติธรรมนานาชาติ (International Justice Mission)
- องค์การหยุดระเบิดปลา มาเลเซีย (Stop Fish Bombing Malaysia)
- องค์การเอโคโลกี มาริทิม อินโดนีเซีย (เอโกมาริน) (Ekologi Maritim Indonesia: EKOMARIN)
- อ็อกซ์แฟม อินเตอร์เนชั่นแนล-เอเชีย (Oxfam International-Asia)
- เอสโอเอส เอิร์ธ (SOS Earth)
- โอเชียน่า (Oceana)
- ฮิวแมนนิตี้ ยูไนเต็ด แอคชั่น (Humanity United Action)
- ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch)
องค์กรที่ร่วมลงนาม:
85. ฟินน์วอทช์
86. มูลนิธิ เอ-ทเวนตี้วัน
87. มูลนิธิการศึกษาเพื่อการพัฒนา
88. มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน
89. มูลนิธิวัฒนเสรี
90. ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเ