Skip to main content

ประเทศไทย: ให้รื้อฟื้นการสอบสวนกรณีนักกิจกรรมที่ถูกทำให้หายตัวไป

ความยุติธรรมที่เป็นมลทินจากการสอบสวนแบบที่ช่วยกลบเกลื่อนความผิดและหย่อนยาน และช่องว่างของกฎหมาย

นายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยงที่มีชื่อเสียง หายตัวไประหว่างถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีเมื่อเดือนเมษายน 2557 © 2014 Human Rights Watch / Private

(นิวยอร์ก) – ทางการไทยควรรื้อฟื้นโดยทันทีให้มีการสืบสวนสอบสวนกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นกับนักกิจกรรมชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีชื่อเสียง ซึ่งหายตัวไปเมื่อเกือบสามปีก่อน ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งยุติการสอบสวนกรณีนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ซึ่งหายตัวไปหลังจากถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เมื่อเดือนเมษายน 2557

รัฐบาลยังคงมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมหรือที่อยู่ของนายบิลลี่

“การสอบสวนของทางการไทยต่อกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นกับนายบิลลี่ ประสบปัญหาเนื่องจากการสอบสวนแบบที่ช่วยกลบเกลื่อนความผิดและหย่อนยาน รวมทั้งช่องโหว่ในกฎหมายไทย” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “แม้จะผ่านไปเกือบสามปี แต่พันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศของไทยกำหนดไม่ให้รัฐบาลละทิ้งหน้าที่จากกรณีนี้ได้ รัฐบาลต้องอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้รับผิดชอบ”

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้น และเจ้าหน้าที่ของเขาได้จับกุมและควบคุมตัวนายบิลลี่ฐานครอบครองน้ำผึ้งป่าจำนวนหกขวดอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่อุทยานให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนของกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 ในเวลาต่อมาว่า พวกเขาปล่อยตัวบิลลี่หลังจากสอบปากคำเพียงสั้น ๆ และไม่มีข้อมูลว่าเขาอยู่ที่ไหน

ในเดือนกันยายน 2557 เจ้าพนักงานสอบสวนของกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาต่อนายชัยวัฒน์และเจ้าหน้าที่อุทยานอีกสี่คน เนื่องจากการควบคุมตัวนายบิลลี่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตำรวจไม่พบว่ามีหลักฐานการปล่อยตัวบิลลี่แต่อย่างใด

การสอบสวนในหลายครั้งยังคงไม่ได้ข้อสรุป และไม่สามารถอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิลลี่ได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมปากคำจากพยานกว่า 200 ปาก และได้ยึดรถยนต์ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจำนวนเจ็ดคัน เพื่อตรวจพิสูจน์ แม้จะพบร่องรอยเลือดของมนุษย์ในรถยนต์ของทางอุทยาน แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเลือดเหล่านั้นเป็นของนายบิลลี่ เนื่องจากมีการทำความสะอาดรถยนต์นั้นก่อนที่เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติเวชจะทำการตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้เข้ามาดำเนินการในคดีนี้เช่นกัน

ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้งคดีที่ซับซ้อนซึ่งจำเป็นต้องใช้ความสามารถพิเศษในการสอบสวน ความผิดที่เป็นการกระทำของกลุ่มอาชญากรรมที่จัดตั้งเป็นองค์กร และคดีที่ผู้ต้องสงสัยเป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ

การสอบสวนประสบปัญหามากขึ้น เนื่องจากกฎหมายไทยไม่มีข้อบัญญัติเพื่อเอาผิดกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย รัฐบาลกระทำความผิดฐานการบังคับบุคคลให้สูญหาย เมื่อเจ้าพนักงานของรัฐควบคุมตัวบุคคล และต่อมาปฏิเสธว่าไม่ได้ควบคุมตัวบุคคลดังกล่าว หรือปกปิด หรือไม่ยอมเปิดเผยที่อยู่ของบุคคลนั้น การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็น “ความผิดที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง” หมายถึงว่าเป็นความผิดที่ยังคงเกิดขึ้นต่อไป จนกว่าจะเป็นที่ปรากฏว่าผู้เสียหายอยู่ที่ใดหรือมีชะตากรรมเป็นอย่างไร ลักษณะที่เกิดขึ้นต่อเนื่องของความผิดเช่นนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวง เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาไม่ทราบว่าบุคคลที่ตนรักยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาควรให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) ซึ่งประเทศไทยลงนามเมื่อปี 2555 และควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดอาญาอย่างหนึ่ง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 รัฐบาลประกาศจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อเอาผิดทางอาญากับการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย และจะให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย แต่ถึงปัจจุบันยังไม่มีการปฏิบัติตามคำสัญญาดังกล่าว  

“ทางการไทยควรเร่งดำเนินการ เพื่อให้เกิดความจริงเกี่ยวกับกรณีของนายบิลลี่ เพื่อประโยชน์ของครอบครัวของเขา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับนักปกป้องสิทธิของชาวกะเหรี่ยง และเพื่อยุติการสูญหายของบุคคลในประเทศไทย” อดัมส์กล่าว

ในช่วงที่หายตัวไป บิลลี่อยู่ระหว่างเดินทางจากหมู่บ้านซึ่งอยู่ในเทือกเขาของอำเภอแก่งกระจาน เพื่อไปพบปะกับชาวบ้านและนักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยง เพื่อเตรียมให้การในศาลในคดีที่ชาวบ้านฟ้องร้องคดีต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชัยวัฒน์ ชาวบ้านได้กล่าวหาในคำฟ้องว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ทางการได้เข้าไปทำลายและเผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของครอบครัวชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครัวเรือนที่บ้านบางกลอยบน บิลลี่ยังอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นถวายฎีกาต่อในหลวง โดยช่วงที่หายตัวไปเขาได้นำแฟ้มสำนวนคดีและหลักฐานที่เกี่ยวข้องติดตัวไปด้วย

แม้ที่ผ่านมานายชัยวัฒน์จะถูกกล่าวหาดำเนินคดีเนื่องจากการปฏิบัติมิชอบและการประพฤติผิดร้ายแรงหลายกรณี ระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากลับเลื่อนตำแหน่งให้นายชัยวัฒน์เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องป่าไม้และสัตว์ป่าเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559  

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.