Skip to main content

ประเทศไทย: ร่างพระราชบัญญัติสื่อฯ คุกคามการรายงานข่าว

โทษจำคุก 3 ปี หากสื่อรายงานข่าวโดยไม่จดทะเบียน

 

(นิวยอร์ก) – รัฐบาลไทยควรถอนร่างกฎหมายฉบับล่าสุด ที่มุ่งควบคุมการรายงานข่าวในประเทศไทยให้เข้มงวดขึ้นโดยทันที ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐบาลทหารประกาศว่า สปท. จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2560

ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนกำหนดให้มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล เพื่อกำกับดูแลสื่อทุกสาขา ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์และออนไลน์ ทั้งยังกำหนดโทษกับบุคคลใด ๆ ซึ่งมีรายได้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมจากรายงานข่าวต่อสาธารณะ โดยไม่มีการจดทะเบียนสื่อในลักษณะเป็นบริษัท สำนักข่าวหรือองค์กร โดยอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกิน 60,000 บาท

“กฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพสื่อซึ่งมีชื่อไม่ตรงกับเนื้อหาฉบับนี้ เป็นความพยายามล่าสุดของรัฐบาลทหารในการเข้าไปแทรกแซงและควบคุมการรายงานข่าวอย่างอิสระ” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “การผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมาย ย่อมทำให้ผู้สื่อข่าวในประเทศไทยต้องคอยกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาอาจถูกจำคุกโดยคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาล”

กฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพสื่อซึ่งมีชื่อไม่ตรงกับเนื้อหาฉบับนี้ เป็นความพยายามล่าสุดของรัฐบาลทหารในการเข้าไปแทรกแซงและควบคุมการรายงานข่าวอย่างอิสระ
Brad Adams

ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย

องค์กรสื่อกว่า 30 แห่งในประเทศไทย รวมทั้งสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ได้แสดงข้อกังวลอย่างจริงจังต่อร่างกฎหมายนี้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐบาลสามารถแทรกแซงสื่อและทำให้ผู้สื่อข่าวต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตอบโต้ รวมทั้งความเสี่ยงที่อาจจะถูกเพิกถอนทะเบียน

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยสัญญาตลอดมาว่า จะเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นอิสระของสื่อ รัฐบาลนี้เน้นย้ำข้อสัญญาดังกล่าวครั้งล่าสุด เมื่อเดือนมีนาคม ในที่ประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระหว่างการพิจารณาสถานการณ์ด้านสิทธิของประเทศไทย อย่างไรก็ดี สถิติการปฏิบัติต่อเสรีภาพในการแสดงออกของรัฐบาลทหารอยู่ในสภาพเลวร้ายมาก ที่ผ่านมาทางการไทยมักคุกคามและดำเนินคดีกับบุคคลเพียงเพราะการแสดงความเห็น การเขียน และการโพสต์ข้อความทางอินเตอร์เน็ต ที่แม้จะเป็นเพียงการวิจารณ์รัฐบาลเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ทันทีหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 รัฐบาลทหารสั่งพักการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและดิจิทัล และสถานีวิทยุชุมชนซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองทุกกลุ่ม ต่อมามีการอนุญาตให้บางสถานีสามารถออกอากาศได้ โดยต้องลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลทหารว่าจะไม่แสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลทหารหรือเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย

รัฐบาลทหารได้ออกประกาศคำสั่งหลายฉบับเพื่อเซ็นเซอร์สื่อมวลชน รวมทั้ง ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ซึ่งห้าม “การวิพากษ์  วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ“และห้ามเผยแพร่ “ที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ที่ส่อให้เกิดความสับสน  ยั่วยุ  ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิด ความแตกแยกในราชอาณาจักร“  โดยสำนักข่าวทุกแห่งถูกบังคับให้ต้องรายงานข้อมูลจากรัฐบาลทหาร

ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 103/2557 ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ กรณีที่เป็นข้อมูลซึ่งทางการเห็นว่า “บิดเบือน และ (สร้าง) ความเข้าใจผิด  อันจะส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม” ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กลายเป็นเครื่องมือการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลทหาร ซึ่งมีอำนาจอย่างกว้างขวางและไม่อาจตรวจสอบได้ สามารถสั่งพักการออกอากาศของรายการโทรทัศน์และวิทยุได้ หากทางการเห็นว่าเนื้อหาของรายการมีลักษณะบิดเบือน สร้างความแตกแยก หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ

“ร่างกฎหมายสื่อฉบับนี้ จะยิ่งทำให้โอกาสที่รัฐบาลทหารจะสามารถทำตามสัญญาทั้งในแง่การเลือกตั้งและการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย เลื่อนลอยออกไปกว่านี้อีก” อดัมส์กล่าว “แทนที่จะออกกฎหมายเผด็จการเพิ่มเติม รัฐบาลควรยกเลิกการเซ็นเซอร์และระเบียบที่ละเมิดสิทธิ ซึ่งกำลังบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงออกของไทยอยู่ในขณะนี้”

Your tax deductible gift can help stop human rights violations and save lives around the world.

Donate today to protect and defend human rights

Human Rights Watch operates in over 100 countries, where we work to investigate and document human rights abuses, expose the truth and hold perpetrators to account. Your generosity helps us continue to research abuses, report on our findings, and advocate for change, ensuring that human rights are protected for all.