Skip to main content

วิกฤติสิทธิมนุษยชนในภาวะที่จมลึกลงไปในระบอบเผด็จการ

คณะทหารให้คำสัญญาที่ว่างเปล่าว่าจะเคารพสิทธิมนุษยชน

(นิวยอร์ค, 27 มกราคม 2559) – ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กระชับอำนาจมากขึ้น และปราบปรามปิดกั้นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างหนักในรอบปีที่ผ่านมา คณะทหารไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่กล่าวว่าจะเคารพสิทธิมนุษยชน และนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง

ในรายงานประจำปีฉบับที่ 29 ความยาว 659 หน้า ฮิวแมนไรท์วอทช์ตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกว่า 90 ประเทศ เรียงความของเคนเน็ธ ร็อธ ผู้อำนวยการบริหาร กล่าวถึงการแพร่กระจายของการก่อการร้ายออกนอกภูมิภาคตะวันออกกลาง และการไหลบ่าของผู้ลี้ภัยจำนวนมาก เนื่องจากการกดขี่ และความขัดแย้งที่เป็นผลมาจากละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐบาลของหลายประเทศอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องความมั่นคง ขณะเดียวกัน รัฐบาลเผด็จการทั่วโลกได้ปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหนักที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เพราะเกรงกลัวต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ ซึ่งมักเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์

แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า “วิกฤติสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยย่ำแย่มากขึ้น มองไม่เห็นเลยว่าจะจมลึกลงไปในระบอบเผด็จการทหารของ คสช. ต่อไปอีกเท่าไหร่” “คณะทหารใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ และใช้เวลาส่วนใหญ่ของปีที่แล้วคุกคาม และดำเนินคดีผู้เห็นต่าง ปิดกั้นการชุมนุม เซ็นเซอร์สื่อ และจำกัดการแสดงออกทางการเมืองที่คณะทหารไม่เห็นด้วย”

ตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คสช. ซึ่งมีหัวหน้า คือ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งยังไม่ใส่ใจต่อความกังวลของสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชน และรัฐบาลประเทศต่างๆ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 การบังคับใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 ได้ถูกแทนที่ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งยกเว้นความรับผิดตามกฎหมายแก่ผู้ที่ดำเนินการต่างๆ ในนามของ คสช. เมื่อเดือนพฤศจิกายน คณะทหารเสนอว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างอยู่ควรรับประกันการนิรโทษกรรมต่อการใช้กำลังทหารเพื่อ “ปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ”

กำหนดเวลาที่คณะทหารสัญญาว่าจะนำพาประเทศกลับสู่การปกครองโดยพลเรือนยังคงเลื่อนออกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความชัดเจนว่าในที่สุดแล้วจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะเดียวกัน คณะทหารยังคงห้ามกิจกรรมทางการเมือง และการชุมนุมอย่างสันติในที่สาธารณะ ใช้อำนาจตามอำเภอใจจับกุมคุมขังหลายร้อยกรณี โดยเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเกี่ยวกับการซ้อมทรมาน และการปฏิบัติอย่างมิชอบต่อผู้ที่อยู่ในการควบคุมตัวของทหาร มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีข้อหายุยงปลุกปั่นอย่างน้อย 27 คน เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของคณะทหาร และฝ่าฝืนคำสั่งห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะ ในรอบปีที่ผ่านมา คสช.ดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหารมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีของผู้ที่ต่อต้านคณะทหาร และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ศาลทหารนั้นขาดความเป็นอิสระ และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ในปี 2558 งานสัมมนา เวทีวิชาการ และกิจกรรมที่มีหัวข้อเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 60 ครั้งถูกสั่งให้ยกเลิก รวมถึงการเสนอรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ เนื่องจากคณะทหารเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพ และความมั่นคงของประเทศ

คณะทหารดำเนินคดีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยกฎหมายที่ร้ายแรง มีคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์อย่างน้อย 56 กรณีนับตั้งแต่การรัฐประหาร โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ โดยศาลทหารได้พิพากษาลงโทษอย่างหนัก เช่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 ศาลทหารพิพากษาจำคุกพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง 60 ปี เนื่องจากโพสต์เฟซบุ๊คที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันกษตริย์ (ลดโทษเหลือ 30 ปี เนื่องจากสารภาพผิด) ซึ่งเป็นการลงโทษรุนแรงที่สุด ในคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์เท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

พลเอกประยุทธ์​กล่าวในที่สาธารณะหลายครั้งว่า ทหารไม่ควรถูกตำหนิ และลงโทษในกรณีความสูญเสียที่เกิดจากกระทำของกองทัพในเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีบุคคลกรของกองทัพแม้แต่คนเดียวที่ถูกดำเนินคดีอาญาจากการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนอย่างร้ายแรงในปฏิบัติการต่อต้านการก่อความไม่สงบในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

รัฐบาลไทยไม่รับฟังคำร้องขอขอสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) และรัฐบาลหลายประเทศ โดยละเมิดกติการะหว่างประเทศที่ห้ามไม่ให้บังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาการลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่คนเหล่านั้นอาจจะถูกประหัตประหาร ซึ่งรวมถึงกรณีการส่งตัวนักกิจกรรมชาวจีน 2 คนกลับไปประเทศจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 และการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปประเทศจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558  

แบรด อดัมส์ กล่าวว่า “การเคารพสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยถดถอย โดยมองไม่เห็นว่าปัญหานี้จะจบลงเมื่อใด” “ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นจะต้องกดดันคณะทหารอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เปลี่ยนท่าที ยุติการปราบปรามปิดกั้นสิทธิมนุษยชน และทำตามคำสัญญาด้วยการนำพาประเทศกลับสู่การกครองโดยพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”  

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.