Skip to main content

แถลงการณ์องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์

ประเทศไทย: นายกฯ ถอนฟ้อง แต่สื่อมวลชนยังคงถูกคุกคาม

(กรุงเทพฯ) วันนี้ องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า “ถึงแม้การที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรถอนฟ้องบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์ตนในคดีหมิ่นประมาทนั้นจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การคุกคามสื่อมวลชนในประเทศไทย รวมทั้งความหวาดกลัว และการเซ็นเซอร์ตัวเองยังคงดำเนินต่อไป”

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีทักษิณได้น้อมรับกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงแนะนำให้นายกรัฐมนตรีอดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ และไม่ให้ปราบปราม หรือดำเนินการใดๆ ที่เกินกว่าเหตุเพื่อตอบโต้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์

นายกรัฐมนตรีทักษิณได้ถอนฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้สื่อข่าวอาวุโส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในคดีหมิ่นประมาททางแพ่ง และทางอาญา 6 คดี ที่มีค่าเสียหายรวมกันมากถึง 2,000 ล้านบาท และมีโทษจำคุกนานมากกว่า 10 ปี

องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์มีความเห็นว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาททางแพ่ง และทางอาญาต่อสื่อมวลชนในลักษณะเช่นนี้ เป็นการคุกคามสื่อมวลชนที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีทักษิณเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2544

อนึ่ง ขณะนี้ นายสนธิ และ น.ส. สโรชา พรอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ยังคงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนในกรณีที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่าร่วมกันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อไป โดยการสอบสวนดังกล่าวดำเนินการโดยกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นอกจากนี้ ถึงแม้จะมีการถอนฟ้องแล้ว แต่ทนายความของนายกรัฐมนตรีทักษิณก็ได้กล่าวว่า ยังจะติดตามการรายงานข่าวนายสนธิ และรายการอื่นๆ ที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลต่อไป โดยไม่รับประกันว่าจะไม่มีการฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีอีกในอนาคต

นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย ขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีควรที่จะเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำ สิ่งที่จะต้องรอพิสูจน์กันต่อไปก็คือ การถอนฟ้องคดีต่างๆ ในครั้งนี้จะเป็นการถอยในทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีทักษิณ หรือจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์กันแน่”

นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณจะทำให้นายสนธิตกเป็นเป้าหมายของการดำเนินการทางกฎหมาย โดยนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งทนายความให้ฟ้องร้องนายสนธิ และพวก จากบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในคดีหมิ่นประมาททางแพ่ง เรียกร้องค่าเสียหาย 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินค่าเสียหายสูงมากที่สุดเท่าที่นักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในประเทศไทยเคยเรียกร้องกันมาแล้ว เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้ยกเลิกการรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของนายสนธิ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 โดยอ้างว่า รายการดังกล่าวได้กล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์หลายครั้ง

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นสำนักงานของนายกสนธิ ถูกปาระเบิด และต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ได้มีกลุ่มชายจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปชว้างปาอุจจาระในสำนักงานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดถูกจับกุมจากเหตุการณ์ทั้ง 2 ครั้ง

ท่ามกลางการถูกดำเนินการทางกฎหมาย และการคุกคามต่างๆ รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของนายสนธิยังคงดำเนินต่อไป โดยย้ายไปจัดตามสถานที่ต่างๆ เช่นที่สวนสาธารณะลุมพีนีในกรุงเทพฯ ซึ่งทุกวันศุกร์จะมีประชาชนหลายพันคนเดินทางรับฟังรายการดังกล่าว นอกจากนี้ เนื้อหาของรายการแต่ละครั้งยังได้ถูกนำมาเผยแพร่ไปทั่วประเทศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง ASTV News 1 และทางเวบไซด์ “ผู้จัดการ” รวมทั้งทางวีซีดีบันทึกรายการอีกด้วย

ดูเหมือนว่า ความนิยมในรายการของนายสนธิที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งให้ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีต่างๆ ยุติการถ่ายทอดรายการของนายสนธิ โดยให้เหตุผลว่า การถ่ายทอดรายการดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจากกรมประชาสัมพันธ์ ขณะที่ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคไทยรักไทยได้ของให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารดำเนินการทางกฏหมายต่อเวบไซด์ “ผู้จัดการ” เนื่องจากได้นำเอาพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง

ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ฟ้องร้องนายสนธิในคดีหมิ่นประมาททางอาญาอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ศาลแพ่งก็ได้มีคำสั่งให้นายสนธิยุติการวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณในประเด็นที่มีการฟ้องร้องกัน ขณะเดียวกัน ศาลจังหวัดยโสธรได้ปฏิเสธคำร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องการจะให้มีการออกหมายจับนายสนธิ และ น.ส. สโรชา ในข้อหาความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยศาลจังหวัดยโสธรให้เหตุผลว่า รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณโดยตรง ถึงแม้จะมีถ้อยคำบางคำที่กล่าวถึง และเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ แต่ถ้อยคำไม่ถึงกับหมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย

องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์มีความกังวลต่อการที่มีการนำเอากองทัพ ซึ่งถอนตัวออกจากการมีบทบาททางการเมืองตั้งแต่ปี 2535 เข้ามาเกี่ยวข้องในการโจมตีนายสนธิ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ได้มีการมอบหนังสือต่อนายสนธิ เรียกร้องให้นายสนธิยุติการกล่าวอ้างพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ หนังสือดังกล่าวลงนามโดยพลตรีพฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหารของนายกรัฐมนตรีทักษิณ และอีก 2 วันต่อมา พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้กล่าวเตือนว่า ถ้าใครทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทมากๆ จนกระทั่งกองทัพทนไม่ไหว ก็จะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

ในประเด็นนี้ นายอดัมส์กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีทักษิณ และนักการเมืองคนอื่นๆ ไม่ควรที่จะใช้กองทัพ หรือยินยอมให้ทหารอ้างกองทัพมาคุกคามผู้สื่อข่าว การกระทำดังกล่าวจะเป็นการย้อนเวลากลับไปสู่ยุคมืดในการเมืองไทย”

นับตั้งแต่ที่เข้าสู่อำนาจในปี 2544 นายกรัฐมนตรีทักษิณได้ใช้อำนาจรัฐ และอำนาจธุรกิจในการสร้างแรง กดดันทางการเมือง และทางการเงินต่อสื่อมวลชน เพื่อจำกัดการรายงานข่าวในแง่ลบ โดยได้มีการระงับ หรือข่มขู่ว่าจะยกเลิกสัญญาโฆษณา หรือใบอนุญาตดำเนินการ หรือใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคดีหมิ่นประมาทเป็นจำนวนเงินมากๆ ต่อผู้สื่อข่าว และนักกิจกรรมด้านสื่อมวลชน

ทั้งนี้ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ได้ฟ้องคดีหมินประมาททางแพ่ง และทางอาญาต่อ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ และหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เรียกค่าเสียหาย 400 ล้านบาท กรณีตีพิมพ์ข่าวเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างรัฐบาลกับบริษัทธุรกิจเครือญาติของนายกรัฐมนตรี

นายอดัมส์กล่าวว่า “ถ้าหากนายกรัฐมนตรีทักษิณมีความประสงค์อย่างแท้จริงที่จะสร้างบรรยากาศที่การตรวจสอบรัฐบาลสามารถเกิดขึ้นได้แล้ว นายกรัฐมนตรีก็ควรที่จะบอกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ และบริวาร ตลอดจนบริษัทของครอบครัวของตนยุติการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทต่อ น.ส. สุภิญญา และสื่อมวลชนอื่นๆ ด้วย”

Your tax deductible gift can help stop human rights violations and save lives around the world.

Donate today to protect and defend human rights

Human Rights Watch operates in over 100 countries, where we work to investigate and document human rights abuses, expose the truth and hold perpetrators to account. Your generosity helps us continue to research abuses, report on our findings, and advocate for change, ensuring that human rights are protected for all.