Skip to main content

เมียนมา: การเพิ่มขึ้นของการโจมตีทางอากาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติควรมีมติคว่ำบาตรรัฐบาลทหาร

บ้านเรือนที่ถูกทำลายจากการโจมตีทางอากาศและการทิ้งระเบิดในค่ายผู้ลี้ภัยมุงลายเจ็ต เมืองลาซา ประเทศเมียนมา 10 ตุลาคม 2566  © 2023 AP Photo

(กรุงเทพฯ) – ในปี 2566 รัฐบาลทหารเมียนมา เพิ่มการโจมตีทางอากาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ และผู้ต่อต้านการทำรัฐประหาร ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ใน รายงานระดับโลกปี 2567 กองกำลังความมั่นคงปฏิบัติการสังหารอย่างกว้างขวาง บังคับบุคคลให้สูญหาย ทรมาน ข่มขืนกระทำชำเรา และก่อความรุนแรงทางเพศอย่างอื่น รวมทั้งการจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการ

“การโจมตีทางอากาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลทหาร สะท้อนให้เห็นสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงในเมียนมา นับแต่การทำรัฐประหารปี 2564” อีเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ควรเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรกองทัพ และกระตุ้นให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกาศใช้มาตรการห้ามซื้อขายอาวุธกับเมียนมา และให้ส่งกรณีนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ”

ในรายงานระดับโลกปี 2567 ความยาว 740 หน้า ซึ่งตีพิมพ์เป็นปีที่ 34 ฮิวแมนไรท์วอทช์ทบทวนการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนในกว่า 100 ประเทศ ใน คำนำของรายงาน ทีรานา ฮัสซัน ผู้อำนวยการบริหารกล่าวว่า ปี 2566 เป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการปราบปรามสิทธิมนุษยชนและความทารุณโหดร้ายระหว่างสงคราม แต่ยังรวมถึงการตอบโต้ด้วยความรุนแรงของรัฐบาลบางประเทศและการทูตแบบมีข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนที่ถูกใช้เป็นเงื่อนไขต่อรอง แต่เธอบอกว่ามีสัญญาณแห่งความหวังอยู่บ้าง มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเส้นทางที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยึดมั่นปฏิบัติตามต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของตนอย่างเคร่งครัด  

ในเดือนเมษายน กองทัพเมียนมาใช้ ระเบิดสุญญากาศ อาวุธระเบิดที่เกิดจากการจุดระเบิดของเชื้อเพลิงทำให้แผ่คลื่นอัดอากาศในภาคสะกาย ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตกว่า 160 คน ในเดือนตุลาคม กองทัพ โจมตีหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่พักพิงของพลเรือนผู้พลัดถิ่นหลายร้อยคนในรัฐคะฉิ่น ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 28 คนรวมทั้งเด็ก 11 คน และนับแต่การทำรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กองทัพได้ใช้ระเบิดลูกปรายที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีลักษณะที่เป็นการยิงอย่างไม่เลือกเป้าหมายเข้าใส่พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

รัฐบาลทหารปิดกั้นไม่ให้มีการส่งความช่วยเหลือที่จำเป็น ไปยังประชาชนหลายล้านคนในพื้นที่สงคราม เป็นการละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ประชาชนกว่าสองล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศ หลายคนต้องหลบหนีจากการโจมตีทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินมาแล้วหลายครั้ง ในเดือนตุลาคม ประชาชนหลายหมื่นคนหลบหนีจากการสู้รบระหว่างกองทัพกับพันธมิตรกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และกองกำลังปกป้องประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลทหารในตอนเหนือของรัฐฉาน

ในเดือนพฤษภาคม พายุไซโคลนโมคา ซึ่งเป็นพายุไซโคลนที่มีความรุนแรงมากสุดหนึ่งในสองครั้ง จากสถิติที่บันทึกได้ในตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง และส่งผลกระทบต่อประชาชนเกือบแปดล้านคน ทั้งในรัฐชิน คะฉิ่น และยะไข่ และในภาคสะกายและภาคมะก่วย รัฐบาลทหารปฏิเสธไม่อนุญาตและไม่ออกวีซ่าให้ผู้ทำงานด้านมนุษยธรรมเข้าไปในพื้นที่ ปฏิเสธไม่ให้มีการนำความช่วยเหลือเร่งด่วนออกจากด่านศุลกากรและคลังสินค้าโดยทันที ทั้งไม่ผ่อนคลายมาตราการปิดกั้นการส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อชีวิต ซึ่งเป็นมาตรการที่ซับซ้อนและไม่จำเป็น

มาตรการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อคว่ำบาตรเมียนมา ได้ถูกสกัดโดยประเทศรัสเซียและจีนมาเป็นเวลานาน จากการออกเสียงวีโต้มติดังกล่าว รัฐบาลประเทศอื่น ๆ ควรแสวงหาวิธีการขยายมาตรการคว่ำบาตรระดับประเทศ เพื่อกดดันรัฐบาลทหารให้เปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว รัฐภาคีสหประชาชาติควรปฏิบัติตามข้อมติในปี 2564 ของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งกระตุ้นให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ “ป้องกันไม่ให้มีการจัดส่งอาวุธเข้าสู่เมียนมา”

รัฐบาลประเทศที่สำคัญรวมทั้งสหรัฐอเมริกา ขยายการคว่ำบาตร ที่ครอบคลุมถึงธนาคารของเมียนมาสองแห่ง ซึ่งรัฐบาลทหารใช้ในการทำธุรกรรมซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหาร ในเดือนสิงหาคม สหรัฐฯ มีคำสั่งห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับบริษัท Myanma Oil and Gas Enterprise (MOGE) ของกองทัพ แต่สหภาพยุโรป สหรัฐฯ แคนาดา และสหราชอาณาจักร ควรประสานงานอย่างดีขึ้น และบังคับใช้มาตรการเหล่านี้ เพื่อบีบให้ประเทศสิงคโปร์ ไทย และประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ของเมียนมาต้องปฏิบัติตาม

ปัจจุบัน ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) อยู่ระหว่างการสอบสวนอาชญากรรมเกี่ยวกับปฏิบัติการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาเมื่อปี 2560 แต่ก็ทำในขอบเขตที่จำกัด การเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การไต่สวนของศาลอาญาระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่ทารุณอย่างเต็มที่ในเมียนมา ในอีกด้านหนึ่ง กลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมายังคงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการสั่งฟ้องคดีในอนาคต

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อเมียนมาที่ถูกกล่าวหาว่ามีความรับผิดชอบต่อการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ ในวันที่ 15 พฤศจิกายน หกประเทศได้เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องคดีนี้หลังจากมีการฟ้องโดยแกมเบียเมื่อปี 2562

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.
Region / Country