Skip to main content

ประเทศไทย: นักกิจกรรมชาวเวียดนามเสี่ยงจะถูกบังคับส่งกลับ

อี ควิน เบดั๊บเสี่ยงจะตกเป็นเหยื่อของการทรมาน, การควบคุมตัวโดยพลการ

Y Quynh Bdăp. © Private

(กรุงเทพฯ) – รัฐบาลไทย ควรปฏิเสธคำขอของเวียดนาม ให้ส่งตัวนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนชนพื้นเมืองชาวมองตานญาดเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และอนุญาตให้เขาไปพำนักในประเทศที่สามทันที ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ 

อี ควิน เบดั๊บ อายุ 32 ปี นักกิจกรรมชนพื้นเมืองชาวเอดีในที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนาม หลบหนีออกจากประเทศเมื่อปี 2561 หลังจากตกเป็นเป้าสอดแนมข้อมูลอย่างเข้มงวดของทางการ ภายหลังเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ หลังมีคำขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากเวียดนาม ตำรวจไทยจับกุมตัวเขาเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ทำให้เขาเสี่ยงจะตกเป็นเหยื่อการทรมานและการปฏิบัติมิชอบที่ร้ายแรงอย่างอื่นในเวียดนาม และเขายังได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจาก UNHCR ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

“อี ควิน เบดั๊บ ซึ่งเป็นนักกิจกรรมหลบหนีจากเวียดนามมายังประเทศไทย เพื่อหลบหนีจากการประหัตประหาร” จอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “รัฐบาลไทยไม่ควรช่วยเหลือเวียดนามในการปราบปรามนักกิจกรรม และควรอนุญาตให้เขาเดินทางไปพำนักในประเทศที่สาม” 

ในเดือนกันยายน ศาลอาญา กรุงเทพฯ วินิจฉัยว่า รัฐบาลไทยอาจส่งตัวอี ควิน เบดั๊บกลับไปเวียดนาม และเขาอาจถูกเนรเทศอย่างเร็วสุดภายในวันที่ 30 ตุลาคม ในคำขอส่งตัวอี ควิน เบดั๊บเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทางการเวียดนามกล่าวหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับ จลาจล ในจังหวัดดั๊กลักเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 หลังการพิจารณาคดีหมู่เป็นเวลาสั้น ๆ ในเดือนมกราคม 2567 ศาลเวียดนามพิพากษาว่าเบดั๊บมีความผิด และลงโทษจำคุกเขา 10 ปี โดยเป็นการพิพากษาลับหลัง

ช่วงต้นปีนี้มีรายงานว่า รัฐบาลแคนาดาพิจารณาจะให้สิทธิพำนักอาศัยกับอี ควิน เบดั๊บ รัฐบาลแคนาดาและประเทศอื่น ๆ ควรดำเนินงานให้มีการปล่อยตัวเขาจากการถูกกักตัว และช่วยเหลือให้เขาเดินทางไปพำนักในประเทศที่สามอย่างปลอดภัยได้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว

ประเทศไทยเสี่ยงจะละเมิดกฎหมายในประเทศและพันธกรณีต่อกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ หากมีการส่งตัว อี ควิน เบดั๊บกลับไปเวียดนาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ห้ามส่งตัวบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กรณีที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่า อาจต้องตกเป็นเหยื่อการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย เมื่อเดินทางกลับไป

นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีพันธกรณีตามหลักการไม่ส่งกลับ ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ห้ามไม่ให้ประเทศส่งกลับบุคคลไปยังดินแดนที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงว่าจะตกเป็นเหยื่อของการประหัตประหาร การทรมาน หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างร้ายแรง หรือภัยคุกคามต่อชีวิต หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี และเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ 

อี ควิน เบดั๊บ ตกเป็นเหยื่อการประหัตประหารในเวียดนามเป็นเวลาหลายปี ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว สื่อ ของรัฐในเวียดนามกล่าวหาว่าเขาเป็นบุตรหลานของครอบครัวซึ่งมี “จารีตประเพณี” ในการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม และกล่าวหาว่าปู่ของเขาเป็น “ลูกสมุน” ของสหรัฐฯ ในระหว่างสงครามเวียดนาม พ่อของเขาเคยถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีในข้อหา “ยุยง” ให้เกิดการประท้วงของประชาชน

ในปี 2555 ตำรวจควบคุมตัวอี ควิน เบดั๊บไว้ห้าเดือนโดยไม่ให้ติดต่อกับทนายความ ในข้อหา “ทำลายความสามัคคีในชาติ” ตามมาตรา 87 ของประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2542 ทางการในท้องถิ่นของที่ราบสูงภาคกลางมักใช้ข้อหานี้เพื่อลงโทษชาวมองตานญาด ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มศาสนาที่เป็นอิสระ ซึ่งทางการประกาศว่าเป็น “ความชั่วร้าย” สุดท้ายทางการได้ปล่อยตัวเขาออกมา ในเดือนธันวาคม 2566 ทางการได้ทำการ ประณามอี ควิน เบดั๊บต่อหน้าสาธารณะและบังคับให้เขาสัญญาว่าจะยุติการทำกิจกรรมทางศาสนาทั้งปวง 

ในปี 2559 อี ควิน เบดั๊บเดินทางมาประชุมเกี่ยวกับเสรีภาพด้านศาสนาในประเทศไทย เมื่อกลับไปยังเวียดนาม ตำรวจควบคุมเขาไว้เป็นเวลาเจ็ดวัน และได้สอบปากคำเขาเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ และต่อมาเขายังตกเป็นเป้าหมายการสอดแนมข้อมูลอย่างเข้มงวด ส่งผลให้เขาตัดสินใจหลบหนีมาที่กรุงเทพฯ ในปี 2561 เพื่อขอที่ลี้ภัย ระหว่างอยู่ในประเทศไทย เขาได้ก่อตั้งองค์กร Montagnards Stand for Justice ในเดือนมีนาคม 2567 รัฐบาลเวียดนามประกาศว่ากลุ่มนี้และกลุ่มสนับสนุนชาวมองตานญาดเป็น องค์การ “ก่อการร้าย” ที่เชื่อมโยงกับการจลาจลเมื่อปี 2566

ฮิวแมนไรท์วอทช์เก็บข้อมูลตาม รายงานเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการไทยให้ความช่วยเหลือเวียดนามและประเทศอื่น ๆ ในปฏิบัติการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้เห็นต่างจากรัฐ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยมากขึ้นสำหรับผู้ที่หลบหนีมาจากการประหัตประหาร

เดื่อง วาน ไถ อายุ 42 ปี เป็นนักกิจกรรมอีกคนหนึ่งที่รณรงค์เป็นเวลาหลายปีเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม เขาหลบหนีมาประเทศไทยเมื่อปี 2562 ระหว่างที่มีการปราบปรามอย่างเข้มงวด ระหว่างที่รอเดินทางไปพำนักในประเทศที่สาม เขาถูกลักพาตัวเมื่อเดือนเมษายน 2566 และถูกบังคับส่งกลับไปเวียดนาม ต่อมาทางการดำเนินคดีกับเขาในข้อหา “ปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านรัฐ” โดยมีกำหนดเข้ารับการพิจารณาของศาลที่กรุงฮานอยในวันที่ 30 ตุลาคม และอาจได้รับโทษจำคุก 12 ปี หากศาลตัดสินว่ามีความผิด

ในวันที่ 14 มีนาคม ตำรวจเวียดนามพร้อมด้วยตำรวจไทย เดินทางไปยังชุมชนผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดสองแห่งในประเทศไทยเพื่อข่มขู่และกดดันให้ผู้ลี้ภัยเดินทางกลับไปเวียดนาม ทั้งยังได้สอบปากคำพวกเขาบางคนเกี่ยวกับที่อยู่ของ อี ควิน เบดั๊บ ตำรวจไทยจึงสามารถตามตัวและจับกุมตัวเขาได้อีกสามเดือนต่อมา 

“อี ควิน เบดั๊บใช้เวลาหลายปีในการรณรงค์กดดันเพื่อสิทธิของชนพื้นเมืองชาวมองตานญาดในเวียดนาม” ซิฟตันกล่าว “เวียดนามไม่ควรดำเนินคดีกับเขาเนื่องจากการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพด้านการแสดงความเห็น และประเทศไทยไม่ควรมีส่วนร่วมกับความพยายามของเวียดนามเพื่อโจมตีเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเขา”

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.