Skip to main content

ประเทศไทย: ต้องไม่มีการนำพลเรือนขึ้นศาลทหารอีกต่อไป

กองทัพบกยังคงมีอำนาจในการจับกุมและควบคุมตัว รวมทั้งการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อคดีที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน

(นิวยอร์ก) – การตัดสินใจของรัฐบาลทหารไทยที่จะไม่นำพลเรือนขึ้นศาลทหารสำหรับคดีที่เกิดขึ้นใหม่ นับเป็นก้าวย่างที่จำกัด ที่มุ่งลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติต่อประเทศไทย ในระหว่างการประชุมของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ การปฏิบัติอันเป็นผลมาจากคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังมีผลน้อยลง เนื่องจากยังคงมีการใช้ศาลทหารเพื่อไต่สวนพลเรือนอยู่ต่อไปสำหรับคดีที่ค้างอยู่ และกองทัพยังคงมีอำนาจในการควบคุมตรวจสอบอย่างกว้างขวาง

นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำวันทยาหัตถ์ต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่ศูนย์บัญชาการกองทัพไทยที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 30 กันยายน 2557

การประชุมสมัยที่ 33 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเริ่มขึ้นที่กรุงเจนีวา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559

“เราไม่ควรหลงกลของรัฐบาลทหารไทยเนื่องจากอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่การประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะเริ่มขึ้นที่กรุงเจนีวา” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “การตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยให้พลเรือนไทยจำนวนมากไม่ต้องขึ้นศาลทหาร แต่การปกครองด้วยระบอบทหารแบบเผด็จการจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปในประเทศไทย”

เมื่อวันที่ 12 กันยายน นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ยกเลิกคำสั่งคสช.ซึ่งให้อำนาจศาลทหารในการไต่สวนพลเรือนสำหรับความผิดต่อความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งข้อหาขบถล้มล้างการปกครองและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างไรก็ดี คำสั่งครั้งนี้ไม่มีผลย้อนหลัง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกว่า 1,000 คดีที่มีการฟ้องพลเรือนต่อศาลทหารอยู่แล้ว กองทัพยังคงมีอำนาจในการจับกุม ควบคุมตัว และสอบปากคำพลเรือนต่อไป โดยไม่มีหลักประกันเพื่อป้องกันการปฏิบัติมิชอบ หรือให้มีการตรวจสอบเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้น

จนถึงทุกวันนี้ ยังคงมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพขึ้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 การแสดงความเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาลทหาร การต่อต้านอย่างสงบต่อการปกครองของทหาร การวิพากษ์วิจารณ์สถานบันกษัตริย์ และการชุมนุมสาธารณะของบุคคลกว่าห้าคนขึ้นไป ยังคงเป็นความผิดทางอาญา นับแต่เดือนพฤษภาคม 2557 มีพลเรือนอย่างน้อย 1,811 คนที่ต้องขึ้นศาลทหารทั่วทุกภูมิภาคของไทย

เราไม่ควรหลงกลของรัฐบาลทหารไทยเนื่องจากอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่การประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะเริ่มขึ้นที่กรุงเจนีวา
แบรด อดัมส์

ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย

ที่ผ่านมาฮิวแมนไรท์วอทช์ได้ระบุว่า ประเทศไทยในฐานะเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) มีพันธกรณีต้องดำเนินมาตรการเพื่อประกันและคุ้มครองสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยมีข้อห้ามไม่ให้รัฐบาลใช้ศาลทหารเพื่อไต่สวนพลเรือน กรณีที่ศาลพลเรือนยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ในระหว่างการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามวาระของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UPR) กรณีประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Office of the High Commissioner for Human Rights - UNOHCHR) รวมทั้งรัฐบาลประเทศอื่น ๆ หลายแห่ง และกลุ่มสิทธิมนุษยชน แสดงความกังวลว่าระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับศาลทหารของไทย ละเมิดสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมในขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกติกา ICCPR โดยเฉพาะรัฐภาคีหลายแห่งได้กระตุ้นรัฐบาลไทยให้ถ่ายโอนคดีต่อพลเรือนทั้งหมดออกจากศาลทหาร ให้ถอนฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐาน และให้ยุติอำนาจของกองทัพที่สามารถจับกุม ควบคุมตัว และสอบปากคำพลเรือนโดยไม่สามารถตรวจสอบได้

“พลเอกประยุทธ์ควรแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการยุติการใช้ศาลทหารต่อพลเรือน ด้วยการถอนฟ้องคดีที่เป็นอยู่ทั้งหมด หรือให้ถ่ายโอนคดีเหล่านั้นไปยังศาลพลเรือน” อดัมส์กล่าว “นั่นจะเป็นก้าวย่างที่มีความหมายและถือว่าเกิดขึ้นช้าเกินไปมาก ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การยุติการกดขี่ปราบปราม เพื่อให้เกิดการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน และเพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยแบบพลเรือนในประเทศ” 

GIVING TUESDAY MATCH EXTENDED:

Did you miss Giving Tuesday? Our special 3X match has been EXTENDED through Friday at midnight. Your gift will now go three times further to help HRW investigate violations, expose what's happening on the ground and push for change.